โดย…สาธิต บวรสันติสุทธิ์, CFP นักวางแผนการเงิน
ข่าว “UrboyTJ” โวยค่ารักษา “ซึมเศร้า-ไบโพลาร์” แพงมากถึง 600,000 บาท จนต้องออกมาตัดพ้อผ่านไอจีสตอรี่
“ค่ารักษาพยาบาล 6 แสน ไม่ต้องรักษากูก็ได้นะ ถ้าจะแพงขนาดนี้ สั*นรก”
และต่อด้วยสตอรี่อีกหนึ่งอันว่า “ปล่อยกูไปตามทางของกูเถอะ”
อ่านคอมเม้นท์เกี่ยวกับข่าวนี้ ก็มีความเห็นที่หลากหลาย บางคนก็ให้ความเห็นว่าโรงพยาบาลเอกชนว่าค้ากำไรเกินควร บางคนก็บอกว่า ตอนเข้าโรงพยาบาลเอกชนก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าค่ารักษาพยาบาลแพง ดังนั้นไม่ควรมาบ่นออกสื่อ
สำหรับผมแล้วข่าวนี้เป็นอีกข่าวหนึ่งที่สะท้อนถึงปัญหาใหญ่ของสังคมไทยที่ระบบการรักษาพยาบาลยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ไม่ว่าการจะต้องไปรอพบแพทย์เสียเวลาเป็นวัน การรอห้อง หรือ คุณภาพของยาที่ได้รับ ทำให้หลายคนต้องยอมเสียเงินแพงๆเข้ารักษาที่โรงพยาบาลเอกชน
หากจะถามว่ารู้มั๊ยว่าค่ารักษาพยาบาลแพง รู้นะ แต่ทำไมถึงยอมจ่ายแพง อยากให้ลองคิดดูนะ หากคนที่ป่วยเป็นตัวเราเอง เราก็คงเข้าโรงพยาบาลรัฐ ยอมทนรอ ยอมนอนห้องรวม เพื่อบริหารค่าใช้จ่าย แต่หากคนที่ป่วยเป็นคุณพ่อคุณแม่ที่อายุมาก สุขภาพไม่แข็งแรง หรือเป็นลูกที่ยังเด็กอยู่ เราก็คงเลือกเข้าโรงพยาบาลเอกชน เพราะชีวิตของคนที่เรารักสำคัญกว่าเงินมากมาย
แต่โรงพยาบาลเอกชนก็ไม่ควรคิดค่ารักษาพยาบาลแพงจนเกินเหตุ เพราะเงินที่มาจ่ายค่ารักษาพยาบาลอาจต้องแลกด้วยอนาคตการศึกษาของเด็ก หรือ ชีวิตวัยเกษียณที่มีความสุขของคนอีกหลายคน ฯลฯ ไม่เพียงค่ารักษาพยาบาลจะแพงมากเท่านั้น ยังแพงขึ้นเร็วมากด้วย อัตราเงินเฟ้อทางการแพทย์ในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2560 ประมาณ 9.2% เป็นอัตราการเพิ่มขึ้นของค่ารักษาพยาบาลที่สูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราเฉลี่ยของทุกประเทศทั่วโลก รวมทั้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในหลาย ๆ หลายประเทศ
เอาง่ายๆที่อัตราเงินเฟ้อค่ารักษาพยาบาลที่ 9.2% นี้ ค่ารักษาพยาบาลจะแพงขึ้น 2 เท่าทุก 8 ปีเลยทีเดียว
ยกตัวอย่างเช่น หากวันนี้เป็นมะเร็ง ต้องใช้ค่ารักษา 7 ล้านบาท (ญาติของผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเพิ่งเสียชีวิตด้วยมะเร็ง หมดค่ารักษาพยาบาล 7 ล้านบาท) หากเป็นมะเร็งในอีก 8 ปีข้างหน้า จะต้องเตรียมเงินสำหรับค่ารักษาพยาบาลถึง 14 ล้านบาท
หลายคนแนะนำให้ทำประกันสุขภาพเพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่าย แม้จะเป็นทางออกที่ดีแต่หากต้องการให้ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลได้หมด ค่าเบี้ยประกันเบี้ยประกันสุขภาพก็แพงมาก แถมเบี้ยประกันสุขภาพก็แพงขึ้นเรื่อยๆตามอายุเช่นกัน
และยิ่งในปัจจุบันสังคมไทยเป็นสังคมคนสูงอายุอย่างสมบูรณ์ คือ มีคนอายุเกิน 60 ปีมากกว่า 20% ของประชากรทั้งประเทศ เรื่องปัญหาสุขภาพยิ่งสำคัญ ข้อมูลองค์การอนามัยโลกเมื่อปี 2559 พบว่าชายไทยจะมีช่วงอายุขัยที่มีปัญหาสุขภาพประมาณ 7.8 ปี ส่วนหญิงไทยจะมีช่วงอายุขัยที่มีปัญหาสุขภาพประมาณ 9.5 ปี (ตามตาราง) ช่วงเวลาเหล่านี้มักจะเป็นช่วงบั้นปลายชีวิตที่ไม่มีรายได้ แต่กลับป่วย และต้องเจอค่ารักษาพยาบาลที่แพง และรักษานาน เราจะหาเงินที่ไหนมากพอที่จะรองรับค่ารักษาพยาบาลที่อาจเกิดขึ้น
ผมดีใจที่ปัญหาค่ารักษาพยาบาลแพงได้รับความสนใจจากภาครัฐและองค์กรต่างๆ อาทิ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ฯลฯ จนได้มีการออกประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ฉบับที่ 1 พ.ศ.2562 เรื่อง การกำหนดราคาสินค้าและบริการควบคุม ลงวันที่ 22 ม.ค.2562 โดยข้อ 3 (13) (14) และ (50) กำหนดให้ยารักษาโรค เวชภัณฑ์เกี่ยวกับการรักษาโรครวมทั้งบริการรักษาพยาบาล บริการทางการแพทย์ และบริการอื่นของสถานพยาบาลเกี่ยวกับการรักษาโรค เป็นสินค้าและบริการควบคุม
แต่ปรากฏว่า สมาคมโรงพยาบาลเอกชน และผู้ประกอบการโรงพยาบาลเอกชน 41 แห่ง ยื่นฟ้อง คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.), รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์, ปลัดกระทรวงพาณิชย์ และอธิบดีกรมการค้าภายใน ต่อศาลปกครองสูงสุด และขอให้ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาเพิกถอนประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ เรื่อง การกำหนดสินค้าและบริการควบคุม โดยเฉพาะการควมคุมราคายา เวชภัณฑ์ บริการรักษาพยาบาล บริการทางการแพทย์ และบริการอื่นๆ ของสถานพยาบาล รวมทั้งมีคำขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนการพิพากษา ให้ศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามประกาศดังกล่าวนั้น เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2562
ล่าสุดเมื่อวันที่ 14 มิถุนายนที่ผ่านมา ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายกฟ้องคดีที่ สมาคมโรงพยาบาลเอกชนและโรงพยาบาลเอกชน 41 แห่ง ร่วมกันฟ้องคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ กระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (รมว.พณ.) ปลัดกระทรวงพาณิชย์ และอธิบดีกรมการค้าภายใน ดังกล่าว
ก็หวังว่าต่อไปเราก็คงได้เห็นโครงสร้างราคาที่เป็นธรรม ราคาเท่าไหร่จึงจะเหมาะสมทำอย่างไรให้ทุกฝ่ายมีข้อตกลงร่วมกัน มีความเห็นชอบร่วมกัน ทั้งในส่วนของผู้บริโภค ผู้ประกอบการและหน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแล เพิ่มเติมจากการที่เราสามารถตรวจสอบราคายาตามมาตรการควบคุมราคาและเงื่อนไขยา เวชภัณฑ์ ค่ารักษาพยาบาล
ตามประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ฉบับที่ 87 พ.ศ.2562 เรื่องการแจ้งราคาการกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไขเกี่ยวกับการจำหน่ายยารักษาโรค เวชภัณฑ์ ค่าบริการรักษาพยาบาล บริการทางการแพทย์และบริการอื่นของสถานพยาบาล ที่กำหนดให้โรงพยาบาลเอกชนต้องแจ้งข้อมูลราคาซื้อ ราคาจำหน่ายยา เวชภัณฑ์ และค่าบริการรักษาพยาบาลฯ ทั้งนี้ หากโรงพยาบาลไม่ปฏิบัติตามประกาศ กกร. ฉบับที่ 87 มีโทษ ดังนี้
• มาตรา 26 วรรคหนึ่ง ไม่แจ้งราคาซื้อ ราคาจำหน่ายตามประกาศ กกร. มีบทลงโทษคือ จำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท ปรับเพิ่มวันละ 2,000 บาท
• มาตรา 25 (3) ไม่แสดง OR Code ไม่ประเมินค่ารักษาพยาบาลเบื้องต้น ไม่ออกใบสั่งยา และใบแจ้งราคายา มีบทลงโทษคือ จำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท
• มาตรา 29 จำหน่ายราคาสูงเกินสมควร มีบทลงโทษคือ จำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาท
ทั้งนี้ ระบบค้นหาและเปรียบเทียบราคายาในโรงพยาบาลเอกชน โดยรายการยาในระบบดังกล่าวอยู่ภายใต้เงื่อนไขต่อไปนี้
1. เป็นรายการยาที่โรงพยาบาลเอกชนแจ้งกับกรมการค้าภายใน ตามประกาศคณะกรรมการ ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ฉบับที่ 87 พ.ศ.2562 เรื่องการแจ้งราคา การกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไขเกี่ยวกับการจำหน่ายยารักษาโรค เวชภัณฑ์ ค่าบริการรักษาพยาบาล บริการทางการแพทย์ และบริการอื่นของสถานพยาบาล
2. รายการยาครอบคลุมตามรายการที่อยู่ในบัญชีเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตมีสิทธิทุกที่ (Universal Coverage Emergency Patients: UCEP) และที่มีปริมาณการจำหน่ายสูงสุด 100 รายการแรกของแต่ละโรงพยาบาล ซึ่งโรงพยาบาลแต่ละแห่งมีการใช้ยารักษาคนไข้แตกต่างกันไป ดังนั้น ยาบางรายการอาจไม่ได้อยู่ภายใต้ระบบค้นหาและเปรียบเทียบนี้
เราสามารถค้นหาและเปรียบเทียบราคายาในโรงพยาบาลเอกชนได้ที่นี่ https://hospitals.dit.go.th/app/drug_price_search.php
อ่านบทความอื่นๆ
ความจริงความคิด : ภาษีลาภลอย
ความจริงความคิด : การบริหารการเงินเพื่อการลงทุน
ความจริงความคิด : ยิ่งเอาคืน ยิ่งขาดทุน
ความจริงความคิด : เปลี่ยนสวนกล้วย เป็นสวนสาธารณะ
ความจริงความคิด : แก่อย่างมีความสุขต้อง 4 แก่ (ตอนที่ 1)
ความจริงความคิด : “เจอ จ่าย จบ” ยังไม่ “จบ” ตอนที่ 1
ความจริงความคิด : เงินตามกรมธรรม์ล่วงพ้นอายุความ
ความจริงความคิด : ความเสี่ยงของวัยเกษียณ