ความจริงความคิด : รู้ภาวะเศรษฐกิจด้วยสัญญาณทางเศรษฐกิจ

โดย…สาธิต บวรสันติสุทธิ์, CFP นักวางแผนการเงิน

ศัพท์การเงินตัวหนึ่งที่เราคงได้เห็นกับบ่อยมากในช่วงที่ผ่านมาและก็เป็นที่กังวลใจของนักลงทุนก็คือ Stagflation ซึ่งหลายคน ก็งงกันว่ามันคืออะไร

Stagflation คือ ภาวะที่เศรษฐกิจซบเซาแต่กลับมีอัตราเงินเฟ้อที่สูง เดาว่าน่าจะเป็นคำที่มาจากศัพท์ 2 ตัว คือ Stagnant ที่แปลว่า หยุดนิ่ง,หยุดไหล,อยู่เฉย ๆ ,ซบเซา,เฉื่อยชา,ไม่เจริญ กับ Inflation ที่แปลว่า อัตราเงินเฟ้อ

ซึ่งหากพิจารณาในภาวะปกติแล้ว ในภาวะที่เศรษฐกิจซบเซา อัตราเงินเฟ้อก็น่าจะลดลง เพราะเศรษฐกิจแย่ คนมีรายได้ลดลงทำให้ต้องประหยัดมากขึ้น คนขายของถ้าอยากจะขายได้เยอะ ก็ต้องลดราคาลง ดังนั้นในภาวะเศรษฐกิจซบเซา อัตราเงินเฟ้อก็มักจะต่ำลง

แต่ของแพงจะราคาแพงขึ้นหรือถูกลง (อัตราเงินเฟ้อสูงหรือต่ำ) ไม่ใช่แค่เรื่องของความต้องการซื้อที่มากหรือน้อยแต่เพียงอย่างเดียว ยังขึ้นอยู่ต้นทุนของสินค้าด้วย หากต้นทุนของสินค้าแพงขึ้น สินค้าก็จะมีราคาที่สูงขึ้น เหมือนเหตุการณ์ในตอนนี้ที่อัตราเงินเฟ้อสูง เกิดจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะสินค้าพลังงาน เช่น ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ในปัจจุบันเข้าสู่ระดับ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลอีกครั้ง ขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติและถ่านหินก็ปรับเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบหลายปี

ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เกี่ยวกับพลังที่ปรับสูงขึ้นเป็นผลทั้งจาก

1. การคลายล็อคดาวน์ โควิด19 ทำให้ความต้องการบริโภคปรับเพิ่มขึ้น คนเริ่มเดินทางมากขึ้น สังเกตง่ายๆ ตอนนี้เดินห้าง คนเยอะมาก หรือออกจากบ้านรถเริ่มติดมากใกล้ๆช่วงก่อนโควิดเลย

2. การผลิตเพิ่มขึ้นอย่างจำกัด เพราะการใช้พลังงานที่ลดลงจากโควิดที่หลายประเทศล็อคดาวน์ คนเลยไม่ค่อยเดินทาง ขณะเดียวกันกระแสการใช้พลังงานสะอาดเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน ทำให้ผู้ผลิตน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ หรือ ถ่านหินไม่มีการลงทุนเพิ่ม หรือ ลดการลงทุน โดยผู้ผลิตน้ำมันขนาดใหญ่ในสหรัฐและยุโรปตัดงบลงทุนในการขุดเจาะใหม่ลงไปถึง 20-30% ในปี 2020-2022

ภาวะ stagflation จึงเป็นภาวะที่น่ากังวล เพราะ ขณะที่เศรษฐกิจซบเซา คนมีรายได้ลดลง กลับถูกซ้ำเติมด้วยข้าวของราคาแพงขึ้น ข่าวดีคือ ด้วยความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีทำให้ราคาสินค้าไม่น่าจะแพงขึ้นมากอย่างที่กังวล ประกอบกับราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น ก็จะทำให้ผู้ผลิตน้ำมันขยายการผลิตเพิ่มขึ้น สุดท้ายราคาก็จะปรับลดลงมา ภาวะเงินเฟ้อสูงก็ไม่น่าจะยาวนาน

การลงทุน คือ การแสวงหาผลตอบแทน ก็คือ ซื้อที่ราคาต่ำ ขายที่ราคาสูง ผลตอบแทนคือกำไร การลงทุนที่ดีจึงต้องเป็นการลงทุนตามแนวโน้มเท่านั้น แนวโน้มสำคัญที่มีผลต่อผลตอบแทนของการลงทุน ก็คือ แนวโน้มเศรษฐกิจ นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จจึงต้องคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจเป็น ตัวบ่งชี้หรือสัญญาณทางเศรษฐกิจ (Economic Indicator) ที่สำคัญ ที่บอกเราได้ว่าภาวะเศรษฐกิจเป็นอย่างไร ทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (https://www.set.or.th/set/education/knowledgedetail.do?contentId=7517&type=article ) ได้รวบรวมให้ มีดังนี้

1. GDP Growth Rate
GDP (Gross Domestic Product) เป็นดัชนีชี้วัดผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ ที่บอกถึงการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศในแต่ละปีว่ามีการเติบโตเพิ่มขึ้นหรือลดลงเท่าใด โดยหาก GDP เป็นบวก หมายความว่า เศรษฐกิจภาพรวมมีการเติบโตขึ้นจากปีก่อน ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดี ขณะเดียวกัน หาก GDP เป็นบวก แต่เป็นบวกที่น้อยลงเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แสดงว่า เศรษฐกิจมีการเติบโต แต่เติบโตในระดับที่ช้าลงเรื่อยๆ

ในทางกลับกัน หาก GDP ติดลบ หมายความว่า เศรษฐกิจโดยภาพรวมมีการหดตัวจากปีก่อน บ่งบอกถึงภาวะเศรษฐกิจของประเทศนั้นหยุดชะงัก หรือชะลอตัวจะเห็นได้ว่า GDP คือ ค่าที่ใช้วัดความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ จึงมีความสำคัญต่อนักลงทุนและการเคลื่อนย้ายเงินลงทุน เพราะไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนรายเล็กหรือรายใหญ่ ย่อมอยากจะลงทุนในประเทศที่มีเศรษฐกิจที่ดี มีเสถียรภาพ และมีการเติบโตที่มากกว่า ดังนั้น GDP จึงเป็นหนึ่งในตัวบ่งชี้ที่สำคัญ

2. อัตราการว่างงาน (Unemployment Rate)
ตัวเลขการว่างงาน ตัวเลขนี้ในภาพรวมยิ่งน้อยยิ่งดี เพราะแปลว่าคนมีงานทำ แต่ที่สำคัญกว่าตัวเลขที่มากหรือน้อย คือ แนวโน้มการว่างงานนั้นเพิ่มขึ้นหรือลดลง เช่น อัตราการว่างงาน อยู่ที่ 1% หากเป็น 1% ไปเรื่อยๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามีแนวโน้มสูงขึ้น อาจเริ่มมีปัญหา

อย่างไรก็ตาม อัตราการว่างงานที่ต่ำ ไม่ได้เป็นปัจจัยเดียวที่จะบอกว่า เศรษฐกิจของประเทศนั้น กำลังขยายตัวไปในทิศทางที่น่าพอใจเสมอไป โดยตัวเลขอัตราการว่างงานที่ต่ำ อาจตีความในอีกมุมหนึ่งได้ว่า เพราะหาแรงงานได้ยากมากขึ้น เนื่องจากโครงสร้างประชากรของประเทศกำลังวิ่งเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุก็เป็นได้

3. เงินเฟ้อ (Inflation Rate)
เงินเฟ้อเป็นตัวเลขที่บอกว่าโดยภาพรวมแล้ว สินค้าและบริการต่างๆ ราคาแพงขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ (%) เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ถ้าตัวเลขนี้เป็นบวกแสดงว่าสินค้ามีราคาแพงขึ้น และถ้าตัวเลขติดลบแสดงว่าสินค้ามีราคาลดลง

ตัวเลขเงินเฟ้อนี้ ถ้าจะให้ดีและถือว่าเป็นภาวะปกติ ไม่มีผลเสียหายต่อภาวะเศรษฐกิจ ต้องเป็นเงินเฟ้อแบบอ่อนๆ ซึ่งข้าวของอาจแพงขึ้นได้นิดหน่อย แต่ก็ไม่เกิน 5% เพราะเงินเฟ้อแบบอ่อนจะทำให้มีการกระตุ้นให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจทางด้านการลงทุน การผลิต การจ้างงาน และรายได้ประชาชาติได้

นอกจากนี้ หากเงินเฟ้อขยับสูงขึ้น จะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยที่หักเงินเฟ้อออก หรือที่เรียกว่า อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Interest Rate) ปรับลดลง เนื่องจากดอกเบี้ยที่เราได้รับ จะนำไปใช้ซื้อของได้น้อยลง เช่น หากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ที่ 1.5% ต่อปี ขณะที่เงินเฟ้อหรือราคาสินค้าเพิ่มขึ้น 1% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงหรือผลตอบแทนสุทธิที่ได้รับจริงๆ จะอยู่ที่ 0.5% ต่อปี

เงินเฟ้อจึงมีผลกระทบต่อผลตอบแทนจากการลงทุน ทั้งผลตอบแทนที่อยู่ในรูปของดอกเบี้ยเงินฝากหรือผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ดังนั้น หากลงทุนควรลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าหรือชนะเงินเฟ้อ เช่น หุ้น กองทุนรวม ทองคำ หรืออสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น

4. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence Index)
ทำโดยการสำรวจความเห็นของผู้บริโภคจากแบบสอบถาม ซึ่งเป็นกลุ่มตัวอย่างว่า มีความคิดเห็นอย่างไร ทั้งในปัจจุบันและอนาคต เช่น มุมมองต่อเศรษฐกิจเป็นอย่างไร มองว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นหรือแย่ลง หรือมุมมองต่อการบริโภค จะจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นหรือไม่

จากนั้นจะนำผลสำรวจมาคำนวณดัชนี ดังนี้

ดัชนี = 50 หมายถึง ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจทรงตัวจากเดือนก่อน
ดัชนี > 50 หมายถึง ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจดีขึ้นกว่าเดือนก่อน และมีแนวโน้มที่จะบริโภคมากขึ้น
ดัชนี < 50 หมายถึง ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นเชิงลบต่อเศรษฐกิจกว่าเดือนก่อน และมีแนวโน้มที่จะบริโภคน้อยลง

ข้อดีของดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค คือ จะทันเหตุการณ์ ช่วยให้มองไปในอนาคตได้ เพราะถ้าตัวเลขออกมาไม่ดี ก็พอจะมองเห็นแนวโน้มของเศรษฐกิจในอนาคต อย่างน้อยๆ ภายในระยะเวลาอันใกล้ได้ ส่วนข้อเสีย คือ มุมมองความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเป็นอะไรที่เปลี่ยนแปลงได้เร็ว ดังนั้น ตัวเลขนี้จะสามารถบอกอนาคตได้ในระยะสั้นเท่านั้น

5. ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ (Business Sentiment Index)
เป็นดัชนีที่ใช้ประเมินสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันและแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอีก 3 เดือนข้างหน้า ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ใช้ตัดสินใจดำเนินนโยบายทางการเงิน เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจ ณ ช่วงเวลานั้น เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นทางธุรกิจของผู้ประกอบการ ว่ามีความเชื่อมั่นเป็นอย่างไร กำลังกังวลต่อภาวะธุรกิจอยู่หรือไม่

โดยสำรวจความเห็นของผู้ประกอบการจากแบบสอบถาม ไปยังกลุ่มตัวอย่างธุรกิจขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ ใน 6 องค์ประกอบ ได้แก่ การผลิต คำสั่งซื้อ การลงทุน ต้นทุนการผลิต ผลประกอบการ และการจ้างงาน

ดัชนี = 50 หมายถึง ผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นทางธุรกิจทรงตัวจากเดือนก่อน
ดัชนี > 50 หมายถึง ผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นทางธุรกิจดีขึ้นกว่าเดือนก่อน
ดัชนี < 50 หมายถึง ผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นทางธุรกิจแย่ลงกว่าเดือนก่อน

6. ดัชนีการลงทุนภาคเอกชน (Private Investment Index)
ดัชนีนี้ใช้ติดตามภาวะและประเมินแนวโน้มการลงทุนของภาคเอกชน ดังนั้น จึงเป็นดัชนีที่สะท้อนอุปสงค์ภายในประเทศ สะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นจริง โดยมีองค์ประกอบ 5 รายการ ได้แก่ พื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้าง ปริมาณจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง (ปูนซีเมนต์ คอนกรีต กระเบื้อง) การนำเข้าสินค้าทุน ปริมาณการจำหน่ายเครื่องจักร/อุปกรณ์ในประเทศ และปริมาณจำหน่ายยานยนต์เพื่อการลงทุน สิ่งเหล่านี้เป็นตัวบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจในอนาคตจะขยายตัวหรือหดตัวได้ดีในระดับหนึ่ง เพราะเวลาที่ผู้ผลิตขายของได้ เนื่องจากเห็นว่าผู้บริโภคมีการซื้อของ ขณะที่สินค้าคงเหลือก็เหลือน้อยลง ผู้ผลิตก็มีแนวโน้มที่จะสั่งของมาผลิตเพิ่มขึ้น มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น

ในทางกลับกัน หากผู้ผลิตขายของไม่ได้ ผู้บริโภคไม่ซื้อหรือซื้อน้อยลง สินค้าคงเหลือมีมากขึ้น ผู้ผลิตจำนวนมากก็จะชะลอการผลิต อาจสั่งเครื่องจักร สั่งสินค้าน้อยลง ก็เป็นตัวบ่งชี้ได้ว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะโตช้าลง

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจต้องการดูข้อมูลหรือดูตัวเลขของตัวบ่งชี้หรือสัญญาณทางเศรษฐกิจตามที่กล่าวข้างต้น สามารถดูได้ในเว็บไซต์ของธนาคารแห่งประเทศไทย ยกเว้นตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ต้องดูในเว็บไซต์ของกระทรวงพาณิชย์

อ่านบทความอื่นๆ

ความจริงความคิด : กลโกงทางการเงิน 1
ความจริงความคิด : กลโกงทางการเงิน 2
ความจริงความคิด : กลโกงทางการเงิน 3
ความจริงความคิด : ธนาคารมีคุ้มครองเงินฝาก ประกันชีวิตก็มีเหมือนกัน
ความจริงความคิด : เมื่อนายจ้างไม่ส่งเงินสมทบประกันสังคม ลูกจ้างเสียอะไร
ความจริงความคิด : ซื้อของออนไลน์ป้องกันโกง ทำยังไง?
ความจริงความคิด : เรื่องต้องรู้ ลดหนี้ด้วยวิธีรีไฟแนนซ์
ความจริงความคิด : ความเสี่ยงของวัยเกษียณ
ความจริงความคิด : การบริหารความเสี่ยงในการลงทุน

📌 ติดตาม HoonSmart ผ่านช่องทาง
Website : www.hoonsmart.com
Facebook : https://www.facebook.com/HoonSmart
Line OpenChat : https://line.me/ti/g2/wEbsUcMaP2oP45XhK3vYhQ
Telegram : https://t.me/HoonSmart
Instagram : hoonsmart_ig
YouTube : https://www.youtube.com/channel/UCtZL62sDzYkq0WJNE11GrnQ
หุ้นสมาร์ทแฟนคลับ แลกเปลี่ยน พูดคุย
https://line.me/ti/g2/96otXLiCSBxAYgZuZATAAA?