HoonSmart.com>>กรุงเทพประกันภัย กางแผนการประกันภัยรับเศรษฐกิจดิจิทัล-เศรษฐกิจยั่งยืน ตั้งเป้าปี 2030 เบี้ยพลังงานทดแทนโต 25% ของพอร์ต เบี้ยอุบัติเหตุส่วนบุคคลและสุขภาพโต 20% ด้านกำไรสุทธิ 6 เดือนแรกลดลงผลจากเสียภาษีเพิ่มขึ้น
ดร.อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน์ ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทกรุงเทพประกันภัย (BKI) กล่าวว่า ธุรกิจประกันภัยจัดเป็นธุรกิจที่สอดคล้องกับแนวทางการทำธุรกิจที่ยึดหลักความยั่งยืน เพราะเป็นธุรกิจที่สร้างความมั่นคงและปลอดภัยให้กับสังคม และจากการที่โลกกำลังมุ่งไปที่การเปลี่ยนผ่านการทำธุรกิจแบบดั้งเดิมสู่การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิต การดำเนินธุรกิจ หรือ เศรษฐกิจดิจิทัล และให้ความสำคัญกับหลักความยั่งยืน หรือ ESG ที่เน้นการดูแลสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทำให้สังคมปลอดภัย และมีจริยธรรมจรรยาบรรณ
ในฐานะประกันภัย ได้เตรียมรับมือและร่วมสนับสนุนให้ธุรกิจและอุตสาหกรรมเปลี่ยนผ่านเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล และเป็นไปตามแนวทางของ ESG มีการลดงานรับประกันภัยธุรกิจที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูง เช่น ธุรกิจถ่านหิน แต่ยังรับอยู่เพื่อดูแลลูกค้าเก่า แต่ในยุโรปไม่รับประกันภัยเหมืองถ่านหินเลย
บริษัทฯมีการรุกเข้าไปรับประกันภัยพลังงานทางเลือกเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรม ที่มีเป้าหมายในการใช้พลังงานทางเลือกร่วม 50% โรงานที่มีการทำระบบบำบัดน้ำเสีย ซึ่งจะมีการให้วงเงินความคุ้มครองที่สูงกว่าธุรกิจที่ยังใช้กระบวนการผลิตแบบดั้งเดิมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงหรือเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมต่ำ
“เราตั้งเป้าว่าในปี 2030 หรือปี 2573 จะต้องมีเบี้ยประกันภัยทรัพย์สินกลุ่มพลังงานทดแทน เพิ่มขึ้น 25% จากปัจจุบันมีประมาณ 3% ของเบี้ยรับรวม โดยปีนี้คาดว่าจะมีประมาณ 500 ล้านบาท โดยมีการเข้าไปรับประกันภัยเขื่อนที่ลาว และ ประกันโรงไฟฟ้าจากพลังงานลมที่เวียดนามร่วมกับบริษัทประกันภัยในเครือ”ดร.อภิสิทธิ์ กล่าว
ดร.อภิสิทธิ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ในการสร้างความมั่นคงและปลอดภัยให้กับสังคม มีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนเบี้ยประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลและสุขภาพ 20% ซึ่งจะทำให้ประชาชนเข้าถึงหลักประกันภัยในชีวิตและสุขภาพสูงขึ้น ทุกกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินต้องมีความคุ้มครองภัยธรรมชาติ มีประกันภัยคุ้มครองธุรกิจขนาดเล็กหรือเอสเอ็มอีเติบโต 100% มีกรมธรรม์ราคาถูกไม่ต่ำกว่า 5 แพคเกจ สนับสนุนคนพิการในระดับที่สูกว่ากฎหมายกำหนด
สำหรับ การรับประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า หรือ รถ EV ที่ทั่วโลกกำลังสนับสนุนให้มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ถือว่ายังเป็นเรื่องใหม่ และมีความเสี่ยงสูงทั่วโลก มีต้นทุนในการดำเนินงานรวมค่าสินไหมทดแทนสูงเกิน 100% จากระบบแบตเตอรี่ที่ยังไม่เสถียร เกิดความเสียหายง่าย แบตเตอรี่ยังมีราคาสูง ผู้ที่มีความรู้ด้านการซ่อมรถยนต์ไฟฟ้ายังมีน้อย ต้องส่งซ่อมศูนย์อย่างเดียว ราคาอะไหล่ยังสูงและไม่มีส่วนลด จึงต้องใช้ความระมัดระวัง มีการประเมินและปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมอยู่ตลอดเวลา
“รถ EV บางยี่ห้อที่เคลมสูงมาก เราไม่เข้าร่วมรับประกันภัยตามเงื่อนไขของดีลเลอร์แล้ว ขอใช้เงื่อนไขของบริษัทฯเพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายให้เป็นไปตามแผนเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน เพราะถ้ารับเงื่อนไขดีลเลอร์ขาดทุนหนัก เรามีเบี้ยประกันภัยรถ EV ประมาณ 10% ของเบี้ยรวม หรือประมาณ 300 ล้านบาท หรือประมาณ 1.2 หมื่นคัน”ดร.อภิสิทธิ์ กล่าว
ดร.อภิสิทธิ์ กล่าวว่า นอกจากแบตเตอรี่ของรถ EV ยังไม่เสถียรแล้ว ราคาก็ยังไม่เสถียรด้วย จะเห็นว่าราคามีการปรับตัวลงแรงและเร็ว ทางบริษัทฯจึงมีการปรับแนวทางการรับประกันภัยใหม่ จากเดิมที่ใช้ราคารถที่ลูกค้าซื้อมากำหนดทุนประกันภัย ปัจจุบันใช้ราคาตลาด หรือ ราคาตามเต้นท์รถเป็นตัวกำหนดทุนประกันภัย เช่น ราคาตลาดอยู่ที่ 8 แสนบาท จะคุ้มครอง 70% หรือทุนจะอยู่ประมาณ 5.6 แสนบาท ของราคาตลาด 8 แสนบาท ทำให้เบี้ยรถ EV แพงกว่ารถสันดาป 20% จากเดิมที่เบี้ยเท่ากัน ซึ่งในไทยถือว่าถูก ทั่วโลกเบี้ยรถ EV ก็แพงกว่ารถสันดาป อย่างในฮ่องกง เบี้ยรถ EV แพงกว่ารถสันดาปถึง 200%
ทั้งนี้ คาดหวังว่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้าเทคโนโลยีใหม่ๆ น่าจะทำให้สามารถพัฒนาแบตเตอรี่ที่มีความเสถียรสูง ปลอดภัยสูง มีช่างซ่อมที่มีความรู้เพิ่มขึ้น ราคาแบตเตอรี่จะถูกลง จะจูงใจให้คนหันมาใช้รถ EV มากขึ้น ทำให้โลกสะอาดขึ้น
ด้านการเตรียมรองรับเศรษฐกิจดิจิทัล บริษัทกรุงเทพประกันภัย โฮลดิ้ง หรือ BKIH เริ่มเข้าลงทุนในแพล็ตฟอร์มที่ให้บริการด้านสุขภาพและแพทย์ออนไลน์ ที่กำลังทำการขยายตลาด ซึ่งเป็นธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องจากธุรกิจหลักของบริษัทในส่วนของการประกันภัยอุบัติเหตุและสุขภาพ
ขณะที่ กรุงเทพประกันภัย มีการเพิ่มทีมงานด้านไอที เพื่อให้บริการการประกันภัยไซเบอร์ เพราะหลังจากที่ธุรกิจไทยมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการผลิตมากขึ้น โดยเฉพาะลูกค้ากลุ่มธุรกิจไอที กลุ่มสถาบันการเน กลุ่มธุรกิจด้านสุขภาพ จะทำให้เกิดความเสี่ยงในการถูกโจมตีระบบ โจรกรรมข้อมูล รวมถึงความเสียหายที่เกิดจากการอัปเดตซอฟต์แวร์ของผู้ให้บริการรายใหญ่ของโลก เช่น กรณีคลาวด์สไตรก์ ที่เกิดขึ้นล่าสุด
ทั้งนี้ บริษัทฯมีทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะในการให้คำปรึกษาประเมินความเสี่ยงให้ลูกค้าซื้อความคุ้มครองตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยจะต้องมีการทวนสอบระบบมาตรฐานการป้องกันความปลอดภัยที่ต้องได้มาตรฐานและเป็นไปตามกฎหมาย เพราะเป็นเรื่องที่มีความอ่อนไหว
ดร.อภิสิทธิ์ กล่าวถึง ผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 (เม.ย.-มิ.ย.) มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 7,127.5 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 เพิ่มขึ้น 7.7% มีผลกำไรสุทธิจากการรับประกันภัยหลังหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานแล้ว 593.1 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ลดลง 1.1%
บริษัทฯ มีกำไรจากการลงทุนสุทธิ 395.3 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้น 26.5% และมีกำไรก่อนค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ 988.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.4% โดยเมื่อหักค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้แล้ว บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 844.6 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้น 4.8% และมีกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน 7.93 บาท
สำหรับ ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนของปี 2567 (ม.ค.-มิ.ย.) บริษัทฯ มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 15,211.7 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 เพิ่มขึ้น 9.7% มีผลกำไรสุทธิจากการรับประกันภัยหลังหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานแล้ว 906.1 ล้านบาท ลดลง 14.9% มีกำไรจากการลงทุนสุทธิ 860.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.4% และมีกำไรก่อนค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ 1,766.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.6% โดยเมื่อหักค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้แล้ว บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 1,534.3 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ลดลง 9.2% และมีกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน 14.41 บาท