เมย์แบงก์ฯ แนะซื้อ BDMS-BH กำไรแข็งแกร่ง

HoonSmart.com>>บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง มองบวกหุ้นโรงพยาบาล ป่วยแค่ชั่วคราว จากกำไรไตรมาส 4 อ่อนแอ ยกเว้น BH ที่ปกติ รายได้จากผู้ป่วยในตะวันออกกลางและพม่าฟื้นตัวขึ้น ส่วน BDMS และ BCH คาด แนวโน้มกำไรดีขึ้นในปี 2562 ระวัง CHG และ VIBHA ไม่ฟื้น

บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ออกบทวิเคราะห์หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล ว่า ผลประกอบการน่าผิดหวังในไตรมาส 4/2561 โดยกำไรหลักของ BH และ BDMS เพิ่มขึ้นเพียง 2-4% ขณะที่กำไรหลักของ BCH, CHG และ VIBHA ลดลง 25-49% อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการที่อ่อนแอส่วนใหญ่มาจากปัจจัยชั่วคราว ยังคงมีมุมมองบวกต่อหุ้นกลุ่ม และคาดว่าจะเติบโตแข็งแกร่งในปี 2562

แนวโน้ม EBITDA margin ที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องของ BDMS ในไตรมาส 4 ได้รับผลกระทบ เนื่องจากค่าใช้จ่ายพิเศษที่เกิดขึ้นครั้งเดียวหลายรายการ ขณะที่กำไรหลักของ BCH ลดลง เนื่องจากรายได้จากสำนักงานประกันสังคมลดลง 15% เหตุไม่มีรายได้ส่วนเกินจากการรักษาผู้ป่วยเรื้อรังหลังจากสำนักงานประกันสังคมปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการชำระเงิน ทั้งนี้ BCH ได้รับเงินจากงบประมาณประจำปีสำหรับการรักษาผู้ป่วยเรื้อรังในไตรมาส 4 เพียง 22.5% เทียบกับ 80% ในไตรมาส 4/2560

ส่วนผลประกอบการของ CHG ได้รับผลกระทบจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดโรงพยาบาลใหม่ คือ CHG 304 Inter ในเดือนก.ค. และรวมแพทย์ ฉะเชิงเทราในเดือนพ.ย. ขณะที่ VIBHA รายงานกำไรหลักอ่อนตัวจากบริษัทย่อย คือ ทิพยบดินทร์ มีการบันทึกตั้งสำรองค่าใช้จ่ายจากการกำจัดวัตถุดิบที่เสื่อมสภาพ มีเพียง BH เท่านั้นที่มีกำไรปกติในไตรมาส 4/61 โดยมีรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติที่แข็งแกร่ง ขณะที่ผู้ป่วยคนไทยรายได้อ่อนตัวเล็กน้อย

บล.เมย์แบงก์ฯ คาด BDMS และ BCH จะกลับมาเป็นปกติในปี 2562 อัตรากำไร EBITDA ของ BDMS ดีขึ้นต่อเนื่อง โดยปัจจัยหลักคือผู้ป่วยประกันเพิ่มขึ้น ขณะที่ BCH มีฐานลูกค้าที่เป็นสมาชิกประกันสังคมมากขึ้น และมี IVF center ที่ WMC ซึ่งจะเปิดในเดือนก.ค.

สำหรับ BH มีมุมมองที่เป็นบวกในประเด็นผู้ป่วยต่างชาติหลังจากผลประกอบการไตรมาส 4 ส่งสัญญาณว่ารายได้จากผู้ป่วยในตะวันออกกลางและพม่าฟื้นตัวขึ้นมาแล้ว และคาดว่าจะมีแรงผลักดันต่อเนื่องในปี 2562

อย่างไรก็ตาม มีมุมมองที่ระมัดระวังต่อ CHG และ VIBHA โดย CHG จะยังคงได้รับแรงกดดันจากโรงพยาบาลใหม่ในครึ่งปีแรกของปีนี้ ในขณะที่ผลประกอบการของ VIBHA น่าจะยังได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของรายได้ต่อหัวสำหรับผู้ป่วยประกันสังคม หลังจากประกันสังคมเปลี่ยนระบบการเบิกเงินคืน

ราคาหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลปรับลดลง 9% และ ต่ำกว่าดัชนีหุ้น 7% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากปัญหาการควบคุมราคาและผลประกอบการไตรมาส 4 ที่อ่อนแอ แต่ยังไม่เห็นการใช้มาตรการควบคุมราคาอย่างเป็นรูปธรรม และเชื่อว่าการกำหนดราคาเดียวสำหรับบริการทางการแพทย์ไม่น่าจะเป็นไปได้ หุ้นกลุ่มปัจจุบันซื้อขายที่ P/E ปี 2561 ที่ 31 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ 35 เท่า เชื่อว่าราคาหุ้นได้สะท้อนปัจจัยลบไปแล้ว เป็นโอกาสในการเข้าซื้อหุ้น เรามีคำแนะนำ ซื้อ สำหรับ BDMS และ BH