TOP พลิกกำไร 2,147 ลบ. Q3/68 กำไร “สต๊อกน้ำมัน-ซื้อคืนหุ้นกู้”หนุน

HoonSmart.com>>”ไทยออยล์” (TOP) พลิกกำไรสุทธิ Q3/68 ที่ 2,147 ล้านบาท หลังมีกำไรสต๊อกน้ำมัน-บันทึกกำไรซื้อคืนหุ้นกู้ 1,372 ล้านบาท บันทึกกำไรพิเศษธุรกิจลงทุนสิงคโปร์ หนุนงวด 9 เดือนปี 68 กำไร 12,126 ล้านบาท เติบโต 68% ประเมินภาพรวมธุรกิจโรงกลั่น Q4/68 ปรับตัวดีขึ้น อุปทานนํ้ามันสําเร็จรูปยังมีแนวโน้มตึงตัว หลังโรงกลั่นนํ้ามันสําเร็จรูปในรัสเซียยังคงผลิตและส่งออกได้ในระดับจํากัด

บริษัท ไทยออยล์ (TOP) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2568 มีกำไรสุทธิ 2,146.84 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.96 บาท พลิกจากงวดเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 4,217.86 ล้านบาท ขาดทุนต่อหุ้น 1.89 บาท

ส่วนงวด 9 เดือน ปี 2568 กำไรสุทธิ 12,126.12 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 5.43 บาท เพิ่มขึ้น 68.61% จากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 7,191.87 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 3.22 บาท

บริษัทฯ ชี้แจงว่า ในไตรมาส 3 ปี 2568 ราคานํ้ามันดิบดูไบเฉลี่ยปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลกลุ่มไทยออยล์จึงมีกําไรจากสต๊อกนํ้ามัน 1,508 ล้านบาท เทียบกับขาดทุนจากสต๊อกนํ้ามัน 5,380 ล้านบาทในไตรมาส 3 ปี 2567 ทําให้กลุ่มไทยออยล์มีกําไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มรวมผลกระทบจากสต๊อกนํ้ามันเพิ่มขึ้น 7.4 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จากไตรมาส 3 ปี 2567 ส่งผลให้มีEBITDA เพิ่มขึ้น 8,165 ล้านบาท

รวมทั้งในไตรมาส 3 ปี 2568 มีการบันทึกกําไรจากการซื้อคืนหุ้นกู้เพิ่มขึ้น 1,372 ล้านบาท ดังนั้น ในไตรมาส 3 ปี 2568 กลุ่มไทยออยล์มีกําไรสุทธิ 2,147 ล้านบาท เทียบกับขาดทุนสุทธิ 4,218 ล้านบาทใน Q3/67

บริษัทฯ มีรายได้จากการขายจำนวน 80,049 ล้านบาท ลดลงจำนวน 29,969 ล้านบาท หรือ 27.24% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 110,018 ล้านบาท

สำหรับงวด 9 เดือนปี 2568 กลุ่มไทยออยล์มีอัตราการใช้กําลังการกลั่นลดลง เนื่องจากการหยุดซ่อมบํารุงครั้งใหญ่ตามวาระ (Major Turnaround) โดยมีรายได้จากการขาย 285,405 ล้านบาท ลดลง 58,490 บาท จากปริมาณการขายที่ลดลงและราคาขายผลิตภัณฑ์หลายผลิตภัณฑ์ที่ปรับลดลงตามราคานํ้ามันดิบ

ขณะที่กลุ่มไทยออยล์มีกําไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกนํ้ามันลดลง 1.2 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 5.9 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ในช่วง 9 เดือนปี 2568 จากค่าการกลั่นที่ปรับลดลง สาเหตุหลักจากส่วนต่างราคานํ้ามันเบนซิน นํ้ามันอากาศยาน/นํ้ามันก๊าด และนํ้ามันเตากํามะถันตํ่ากับนํ้ามันดิบดูไบที่ปรับลดลง ประกอบกับ Crude Premium ปรับเพิ่มสูงขึ้น จากอุปสงค์ของ Murban ที่ปรับเพิ่มขึ้นจากโรงกลั่นในสหรัฐอาหรับอิมิเรตส์ส่งผลให้ADNOC ปรับลดการส่งออก และกําไรขั้นต้นของธุรกิจอะโรเมติกส์ก็ปรับลดลง นําโดยส่วนต่างราคาสารเบนซีนกับนํ้ามันเบนซิน 95 ที่ปรับลดลงจากอุปสงค์ที่ยังคงอ่อนแอ

กําไรขั้นต้นของธุรกิจผลิตสาร Linear Alkyl Benzene ปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงกําไรขั้นต้นจากธุรกิจผลิตนํ้ามันหล่อลื่นพื้นฐานปรับเพิ่มขึ้น จากส่วนต่างราคานํ้ามันหล่อลื่นพื้นฐาน และยางมะตอยกับนํ้ามันเตาปรับตัวสูงขึ้น จากอุปทานที่ยังคงจํากัดอย่างต่อเนื่องจากการเลื่อนเปิดดําเนินการของโรงผลิตนํ้ามันหล่อลื่นพื้นฐานกลุ่มที่ 2 และ 3

ทั้งนี้ จากราคานํ้ามันดิบดูไบเฉลี่ยในช่วง 9 เดือนปี 2568 ที่ปรับลดน้อยลง ทําให้รับรู้ขาดทุนจากสต๊อกนํ้ามันลดลง 2,321 ล้านบาท ทําให้กลุ่มไทยออยล์มีกําไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มรวมผลกระทบจากสต๊อกนํ้ามัน 5.3 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ลดลง 0.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จากช่วงเดียวกันปีก่อน ส่งผลให้กลุ่มไทยออยล์มี EBITDA 11,638 ล้านบาท ลดลง 3,916 ล้านบาท ขณะที่มีการบันทึกกําไรจากการซื้อคืนหุ้นกู้เพิ่มขึ้น 2,919 ล้านบาท เนื่องจากในช่วง 9 เดือน ปี 2568 กลุ่มไทยออยล์ซื้อหุ้นกู้สกุลเงินเหรียญสหรัฐฯ 633 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 513 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากช่วงเดียวกันปีก่อน

รวมทั้งมีการรับรู้ส่วนแบ่งกําไรพิเศษจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม ซึ่งเกิดจากการต่อรองราคาจากการเข้าซื้อธุรกิจในประเทศสิงคโปร์ จํานวน 7,044 ล้านบาท ส่งผลให้ในช่วง 9 เดือนปี 68 กลุ่มไทยออยล์มีกําไรสุทธิ 12,126 ล้านบาท หรือเท่ากับ 5.43 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 4,934 ล้านบาท

สำหรับภาพรวมของธุรกิจโรงกลั่นในช่วง Q4/68 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจาก Q3/68 จากอุปทานนํ้ามันสําเร็จรูปยังคงมีแนวโน้มตึงตัวหลังโรงกลั่นนํ้ามันสําเร็จรูปในรัสเซียยังคงผลิตและส่งออกได้ในระดับจํากัดจากผลกระทบจากการจู่โจมด้วยโดรนของยูเครน ทําให้รัสเซียประกาศระงับการส่งออกนํ้ามันเบนซินและดีเซลจนถึงสิ้นปี 2568 ขณะที่จํานวนการปิดตัวของโรงกลั่นนํ้ามันสําเร็จรูปในสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ โรงกลั่นขนาดใหญ่ในไนจีเรีย (Dangote) ยังคงดําเนินการผลิตในระดับตํ่า หลังปิดซ่อมบํารุงหน่วยผลิตนํ้ามันเบนซินตั้งแต่เดือนก.ย.2568 ในขณะเดียวกัน ปริมาณนํ้ามันดีเซลคงคลังคาดการณ์ว่าจะยังคงอยู่ในระดับตํ่ากว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ท่ามกลางความต้องการใช้นํ้ามันทําความร้อนที่เพิ่มขึ้นในช่วงฤดูหนาว

สําหรับภาพรวมของธุรกิจโรงกลั่นในปี 2569 มีแนวโน้มทรงตัวในระดับที่ดี ใกล้เคียงกับปี 2568 หลังคาดการณ์ว่าอุปทานจากโรงกลั่นใหม่เติบโตสุทธิน้อยกว่าการเติบโตของอุปสงค์ ประกอบกับอุปทานนํ้ามันดีเซลตึงตัวจากการจํากัดการส่งออกนํ้ามันสําเร็จรูปจากรัสเซียหลังได้รับผลกระทบจากการถูกโจมตีจากยูเครนอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ สหภาพยุโรปประกาศควํ่าบาตรนํ้ามันสําเร็จรูปที่ผลิตจากนํ้ามันดิบจากรัสเซีย โดยมีผลบังคับใช้ในเดือนมกราคา 2569 เป็นต้นไป

อย่างไรก็ดี อุปทานนํ้ามันเบนซินมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นจากโรงกลั่นใหม่ขนาดใหญ่ในเม็กซิโกที่จะเปิดดําเนินการหน่วยผลิตนํ้ามันเบนซินในปี 2569 ประกอบกับการกลับมาดําเนินการผลิตของโรงกลั่นในไนจีเรียหลังปิดซ่อมบํารุงแล้วเสร็จในช่วงต้นปี 2569

———————————————————————————————————————————————————–