“DUSIT” เกมพลิก!ขัดแย้งถูกปลดล็อก ลุยล้างหนี้-เก็บกำไรปี’69! ขยายธุรกิจทุกมิติ

HoonSmart.com>>“ดุสิตธานี” เปิดรันเวย์ใหม่สู่ยุค “Unlock Value” เคลียร์ปมปลดล็อคความกังวลผู้ถือหุ้นจบ! ปลายปีนี้รับรู้รายได้ใหญ่จากโครงการมิกซ์ยูส 1.6 หมื่นล้านบาท เตรียมตัวล้างหนี้-บันทึกกำไรปี’69! หลังขาดทุน 5 ปีซ้อน เดินหน้าแผนขยายธุรกิจโรงแรม-อาหาร-การศึกษา-อสังหาฯ สู่ตลาดโลก สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี (DUSIT) เปิดห้องแถลงข่าว “Unlock Value :มองย้อน 9 ปี ‘ดุสิตธานี’กับทิศทางในอนาคต” อย่างเป็นทางการ หลังสามารถนำส่งงบการเงินไตรมาส 1 ปี 2568 ที่ผ่านการสอบทานแล้วต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ทันตามกำหนดเวลา ทำให้หุ้น “DUSIT” ไม่ถูกขึ้นเครื่องหมาย SP หรือไม่ถูกสั่งหยุดการซื้อขาย และผู้ถือหุ้นได้อนุมัติการแต่งตั้งผู้สอบบัญชีรับอนุญาตของปี 2568 เป็นที่เรียบร้อย

หลังเกิดเหตุการณ์ตึงเครียดระหว่างผู้ถือหุ้นด้วยกันเอง ถึงขั้นไม่อนุมัติงบการเงินประจำปี 2567 ที่มีการประชุมผู้ถือหุ้นไปเมื่อวันที่ 25 เม.ย.2568 เพราะบัญชีมีการขาดทุนติดต่อกัน 5 ปี และไม่มีการจ่ายเงินปันผลผู้ถือหุ้น เป็นเหตุให้ไม่ต่ออายุกรรมการ 4 คนที่หมดวาระ เหลือกรรมการ 8 คน จากที่ควรมี 12 คน ตกเป็นเป้าสายตาของนักลงทุน แต่กรรมการอิสระยังเป็นไปตามเกณฑ์โดยมี 4 คน จากที่ตลาดหลักทรัพย์ฯกำหนดไว้ว่าต้องมี 1 ใน 3

ปัญหาความตึงเครียดระหว่างผู้ถือหุ้นใหญ่ที่เป็นสิ่งที่นักลงทุนกังวลถูกปลดล็อคแล้ว! โดยในวันที่ 16 มิ.ย.2568 นี้ จะมีการเปิดประชุมกรรมการของบริษัท เพื่อแต่งตั้งกรรมการที่ยังขาดอยู่ 4 คนให้ครบ และหลังจากนั้นอาจจะมีการจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น เพื่อแต่งตั้งกรรมการเพิ่มเติม

“ในสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็แล้วแต่ของผู้ถือหุ้น เป็นสิ่งที่ตอบแทนผู้ถือหุ้นไม่ได้ โดยยังทำหน้าที่บริหารต่อไป และยังได้รับการสนับสนุนจากทายาทของกลุ่มดุสิตธานีทั้ง 2 ฝ่าย ให้ทำหน้าที่ต่อไป ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแก้ไข ถือว่ามันจบแล้ว ในแง่ของการปลดล็อคความกังวล”นางศุภจี กล่าวย้ำ

ทิศทางรายได้ปี 2568?

นางศุภจี : กลุ่มดุสิตธานี ตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้จากธุรกิจหลักในปีนี้ไว้ที่ 20-25% เมื่อเทียบกับปี 2567 ไม่รวมรายได้จากรายการพิเศษ คิดเป็นเม็ดเงิน 8,900 -9,000 ล้านบาท โดยคาดว่าธุรกิจโรงแรมที่เป็นธุรกิจหลักจะโต 20-25% ธุรกิจอาหาร โต 10-15% ธุรกิจการศึกษาทำยากแต่ก็คาดว่าจะโต 10-12% และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไม่รวม Bare Shell จะโตมากกว่า 100% แต่ฐานของธุรกิจอสังหาฯยังเล็กอยู่ เพราะรายได้ปีก่อนหน้ามาจากดอกเบี้ยจากเงินสดที่เรามีเหลือจากการลงทุน ถึงอัตราการโตจะสูงก็ยังเป็นตัวเลขที่ไม่ได้มาก  ส่วนปี 2569 คาดว่ารายได้จะเติบโตต่อเนื่องราว 22-25%

 

กำไรจะเริ่มเห็นปี 2569?

นางศุภจี : กำไรสุทธิเราบอกไม่ได้ว่าจะมีกำไรเท่าไหร่ แต่เรามีมุมมองเชิงบวกว่าจะดีขึ้นนับจากปีนี้ เรามองเห็นทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องของกำไร จากที่ผ่านมาขาดทุนติดต่อกัน 5 ปี

ปัจจัยสนับสนุนหลัก มาจากการรอรับรู้รายได้การโอนโครงการที่พักอาศัย Dusit Residences และ Dusit Parkside ที่ขายไปแล้วประมาณ 90% ของโครงการทั้งหมด ประมาณการมูลค่ารายได้ 16,000 ล้านบาท ซึ่งการโอนจะเกิดขึ้นในช่วงปลาย 2568 เป็นต้นไป

หลังการโอน ภาระดอกเบี้ยจ่ายที่มีอยู่ 281 ล้านบาท จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจุบันมีหนี้รวม 10,000 ล้านบาท แบ่งเป็นหนี้เงินกู้ 8 ธนาคาร 6,000 ล้านบาท ซึ่งมีภาระอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยอยู่ที่ 5.7% และจากการออกหุ้นกู้ 2,500 ล้านบาท ซึ่งจะครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2569 มีภาระอัตราดอกเบี้ย 5.55% และมีหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ 1,500 ล้านบาท

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ปี 2566-2567 จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ของบริษัทดุสิตธานี อยู่ในระดับ Investment Grade ที่มีเสถียรภาพ แสดงให้เห็นว่าฐานะการเงินของบริษัทมีความมั่นคง โดย ทริสฯ ได้ยกเลิก “เครดิตพินิจ” แนวโน้ม “Negative” หรือ “ลบ” ที่ให้ไว้แก่อันดับเครดิตองค์กรและตราสารหนี้ของบริษัทฯ พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทฯ ไว้ที่ระดับ “BBB-” รวมทั้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน (DUSIT22PA) ของบริษัทฯ ไว้ที่ระดับ “BB” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่”

ขณะที่ ธุรกิจโรงแรมนำโดยโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ เรือธงที่สำคัญ จะสามารถรับรู้รายได้เต็มปีในปี 2568 เป็นปีแรก ส่วนธุรกิจอาหารมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง

ดังนั้น ภาระดอกเบี้ยจ่ายนี้จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากการโอนโครงการที่พักอาศัยเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2568 ต่อเนื่องถึงปี 2569 และช่วงเวลานั้นถ้าไม่มีอะไรที่แรงๆ มากระทบเหมือนที่เกิดโควิด-19 จะเป็นช่วงที่กลุ่มดุสิตธานีจะกลับมามีกำไรสุทธิอีกครั้งอย่างแน่นอน

อาหารเป็นพิษ?

นางศุภจี : ปัจจุบัน บริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด ที่มีสถานะเป็นบริษัทโฮลดิ้ง มีการเจริญเติบโตที่ดีขึ้นในมุมของ EBITDA มีขาดทุนติดปลายนวมอยู่นิดหน่อย ซึ่งเป็นผลจากการเตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำให้เกิดค่าใช้จ่าย เช่น การลงระบบบัญชี การจ้างที่ปรึกษาทางการเงิน ที่ปรึกษาทางด้านกฎหมาย ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียว

ปี 2566 มีรายได้รวม 880 ล้านบาท รวมรายได้เงินปันผลจากบริษัทบองชู 25 ล้านบาทแล้ว ปี 2567 มีรายได้ 1,490 ล้านบาท แต่เมื่อนำมารวมในงบของ บริษัทดุสิตธานี (DUSIT) อยู่ที่ 1,470 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 18.6%

บริษัทดุสิต ฟู้ดส์ มีการลงทุนใน 3 บริษัท

1.บริษัท เอ็บเพอคิวร์ เคเทอริ่ง จำกัด ผู้นำธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่ให้บริการกับโรงเรียนนานาชาติในไทย ที่ปีนี้จะมีการเติบโตเพิ่มขึ้น จากการมีพันธมิตรเข้ามา และได้ทำการขยายธุรกิจไปยังฮ่องกง แล้ว

2.บริษัท เดอะ เคเทอเรอร์ส จอยท์ สต็อก จำกัด (The Caterers Joint Stock) หรือ เดอะ เคเทอเรอร์ส (The Caterers) ผู้ให้บริการด้านการจัดเลี้ยงสำหรับโรงเรียน และงานเลี้ยงรับรองนอกสถานที่ในประเทศเวียดนาม

3.บริษัท บองชู เบเกอรี่ เอเชีย จำกัด เป็นเจ้าของแฟรนไชส์ขนมเบเกอรี่ “บองชู” (BONJOUR) มีสาขารวมทั้งสิ้น 99 แห่ง ครอบคลุมในประเทศไทย จีน และเวียดนาม และมีโรงงานผลิตเบเกอรี่ที่นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด จังหวัดระยอง จากปี 2563 ที่บริษัทเข้าไปซื้อครั้งแรกมี 50 สาขา

ขณะเดียวกัน ก็มีการหยุดธุรกิจอาหารสุขภาพ เพราะคิดว่าไม่ตรงกับเป้าหมายที่เราจะเดิน และมีการตั้งบริษัทขึ้นมาใหม่ เช่น บริษัทที่ทำอาหารแช่แข็งที่ส่งขึ้นสายการบิน

เหตุที่ขาดทุน 5 ปีติด-ไม่ปันผล

นางศุภจี : เนื่องจากที่ผ่านมา กลุ่มดุสิตธานีมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ใน “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” ที่มีมูลค่าประมาณ 46,000 ล้านบาท โดยไม่มีการเพิ่มทุน เงินในกระเป๋ายังอยู่ที่ 850 ล้านบาท และมีการเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่อย่างการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กว่า 3 ปี มีการปิดโรงแรมในกรุงเทพเพื่อรีโนเวตใหม่ โดยที่เรายังดูแลพนักงานของเรา

ทำให้บริษัทฯ มีภาระดอกเบี้ยจ่ายหุ้นกู้ที่ออกและเสนอขายเพื่อรองรับสภาพคล่องทางการเงินในช่วงโควิด-19 และดอกเบี้ยเงินกู้ยืม ประมาณ 281 ล้านบาท รวมถึงดอกเบี้ยของหนี้สินจากสัญญาเช่าตามมาตรฐานการรายงานการเงินฉบับที่ 16 (TFRS 16) ประมาณ 297 ล้านบาท รวมเป็นต้นทุนทางการเงินประมาณ 578 ล้านบาท จึงทำให้มีตัวเลขขาดทุนสุทธิในปี 2567 อยู่ที่ 237 ล้านบาท

แม้ว่า ในปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้รวมสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ที่ 11,204 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2566 คิดเป็น 74.8% โดยมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) 1,650 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 91.4% (YoY)

หากเราไม่รวมต้นทุนดอกเบี้ยจ่าย ธุรกิจของเราก็ยังมีกำไรจากการดำเนินงาน แต่ที่เราต้องออกหุ้นกู้และกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน และหาพันธมิตรร่วมทุน

ธุรกิจจะเดินไปอย่างไร?

นางศุภจี :แม้ว่าเส้นทางของเราจะเคยชะลอตัวลงชั่วขณะ แต่จุดหมายของเรายังคงชัดเจนไม่เปลี่ยนแปลงและอนาคตที่สดใสยังรอเราอยู่ ซึ่งไม่ใช่อนาคตที่เป็นการสร้างฝัน แต่เป็นอนาคตที่ทำแล้ว เห็นผลแล้ว เพียงแต่รอรับรู้รายได้

วันนี้ถึงเวลาเก็บเกี่ยว เป็นช่วง “Unlock Value” เพราะรายได้จากการขายโครงการมิกซ์ยูส โรงแรม แบรนด์ร้านอาหาร สำนักงานให้เช่า ที่จะเข้ามาในปีนี้ เราจะนำไปใช้หนี้ จะเห็นหนี้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในปี 2569

เรายังเดินหน้า 3 กลยุทธ์หลักเพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว

1.สร้างความสมดุล หรือ Balance ของรายได้จากธุรกิจโรงแรม ธุรกิจบริหารอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจอาหาร จะไม่พึ่งพารายได้จากโรงแรมเพียงอย่างเดียว  ปี 2567 สัดส่วนรายได้จากธุรกิจโรมแรมมีประมาณ 66-67% ของรายได้รวม จากธุรกิจอาหารอยู่ที่ 18% จากธุรกิจบริหารอสังหาริมทรัพย์ 7% แต่ฐานของธุรกิจนี้ยังต่ำอยู่ และธุรกิจการศึกษา 5% โดยธุรกิจอาหาร และธุรกิจการศึกษา จะเป็นแรงสนับสนุนที่สำคัญในการสร้างการเติบโตนอกเหนือไปจากธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

2.มีธุรกิจที่หลากหลาย หรือ Diversify เพื่อกระจายความเสี่ยง ที่เรามี ดุสิต ฟู้ดม มี Epicure Catering,มี Bonjour bakery และอสังหาริมทรัพย์ เช่น ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค โครงการมิกซ์ยูส มูลค่าโครงการ 46,000 ล้านบาทที่จะมีการเปิดในเดือน ส.ค.ปีนี้

3.ขยายโรงแรม หรือ Expand เป็นการขยายพอร์ตโรงแรมจาก 27 แห่ง เป็น 58 แห่ง ซึ่งมีทั้งที่เป็นเจ้าของเอง และรับจ้างบริหารครอบคลุม 19 ประเทศ และยังได้เปิดแบรนด์ใหม่เจาะกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ในกลุ่ม Millenials & Gen Z รวมถึงการเปิดโรงแรมที่กรุงเทพ ญี่ปุ่น ฮานอย อินเดีย

ในการทำตลาด จะใช้กลยุทธ์ทางการตลาดแบบพุ่งเป้าลูกค้าเฉพาะกลุ่ม โดยการนำเทคโนโลยี AI มาช่วยออกแบบแคมเปญต่างๆ หรือ generate campaign มีการทำงานร่วมกันพันธมิตรที่เกี่ยวข้องทั้งกับภาครัฐ และเอกชน เพื่อร่วมกันให้บริการครบวงจร และหาเทรนด์ที่จะทำให้รายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งเราพบว่า

เทรนด์แรก ที่น่าสนใจและควรทำมาก คือ เรื่องสุขภาพ ทั้ง เวลเนส และ เมดดิเคิล ที่กลุ่มนักท่องเที่ยวตะวันออกกลางนิยมมาไทย ซึ่งจะส่งเสริมรายได้ของโรงแรม โรงพยาบาล อาหาร และ บริการอื่นๆ

เทรนด์ที่สอง การพักอาศัยระยะยาว เมื่อ 2 ปีก่อน กรุงเทพเป็นหมุดหมายอันดับ 1 ของโลกที่คนอยากมาใช้ชีวิต โดยจะจับกลุ่มคนทำงานอิสระ ที่ทำงานที่ไหนก็ได้ หรือ กลุ่ม Digital Nomad

เทรนด์ที่สาม ความยั่งยืน ที่มุ่งสู่การทำธุรกิจโรงแรมภายใต้การคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และมีบรรษัทภิบาล ซึ่งจากการเก็บสถิติพบว่าลูกค้ายอมจ่ายแพงขึ้นถึงระดับ 20% สำหรับการเข้าพักโรงแรมที่เป็นกรีน

เทรนด์ที่สี่ การสร้างประสบการณ์ที่ดีในการเข้าพัก ซึ่งต้องเติมกิจกรรมเพิ่มขึ้น

เทรนด์ที่ห้า ของการเดินทางเชิงธุรกิจควบคู่กับการพักผ่อน หรือ Bleisure

9 ปีของการทำงานที่ดุสิตธานี

นางศุภจี :ได้รับความไว้วางใจจากคณะกรรมการของกลุ่มดุสิตธานี ให้โอกาสคนนอกวงการอย่างเรา เข้ามาปรับปรุงเปลี่ยนแปลง และแผนกลยุทธ์ 9 ปี (2559-2568) ก็ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการ และผู้ถือหุ้น ซึ่งได้แบ่งออกเป็น 3 ช่วง ช่วงเวลาละ 3 ปี ได้แก่

ช่วงที่ 1 ช่วงสร้างฐาน (2559-2561) เป็นช่วง 3 ปีแรกของการเข้ามาบริหารงานกลุ่มดุสิตธานี โดยเป้าหมายที่วางไว้จะโฟกัสที่การสร้างคน ทั้งวัฒนธรรมองค์กร ทัศนคติ การพัฒนาทักษะพนักงาน พัฒนากระบวนการทำงาน เตรียมความพร้อมด้านเทคโนโลยี สร้างศักยภาพของสินทรัพย์กลุ่มดุสิตธานี และยกระดับศักยภาพของแบรนด์ดุสิตธานีให้ตอบโจทย์ทุกเซกเมนต์ หรือเซกเมนต์ที่มีศักยภาพสูง รวมถึงเตรียมพร้อมด้านโครงสร้างการเงินเพื่อรองรับแผนระยะยาว เพื่อให้กลุ่มดุสิตธานีเตรียมพร้อมที่จะนำเสน่ห์แบบไทยและความเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ไทยไปให้คนทั่วโลกได้รู้จัก

ช่วงที่ 2 ช่วง Take Off (2562-2565) เป็นช่วงขยายการเติบโตให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด ทั้งการขยายธุรกิจโรงแรม ควบคู่ไปกับการขยายบริการที่หลากหลายรูปแบบ ขยายธุรกิจการศึกษา พร้อมๆ กับการขยายสู่ธุรกิจอาหาร ด้วยการจัดตั้งบริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด รวมถึงการเดินหน้าขยายโครงการ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสาน (Mixed-Use) ที่มีมูลค่ากว่า 46,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่กลุ่มดุสิตธานี ต้องรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้บริษัทฯ ต้องปรับกลยุทธ์ โดยเน้นการสำรองเงิน เพื่อให้มีกระแสเงินสดที่เพียงพอ ด้วยการตัดสินใจขายทรัพย์สินบางส่วนออกไปเพื่อปรับโมเดลทางการเงินใหม่ ด้วยวัตถุประสงค์หลักในการรักษาองค์กรให้เดินต่อไปได้ และโครงการสำคัญยังคงเดินหน้าโดยไม่ลดทอนคุณภาพ

ช่วงที่ 3 ช่วง Unlock Value (2566-2568) เป็นช่วงเก็บเกี่ยวการเติบโต จากการที่กลุ่มดุสิตธานีลงทุนไปก่อนหน้านี้ เพื่อสร้างผลประกอบการที่เติบโตอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการขยายโรงแรม จากที่เคยมีโรงแรม 27 แห่งใน 8 ประเทศ ปัจจุบัน ณ ไตรมาสแรกปี 2568 กลุ่มดุสิตธานีมีโรงแรมและวิลล่าภายใต้การบริหารจัดการรวม 294 แห่ง จำนวนห้องพักรวม 12,909 ห้อง ใน 18 ประเทศ เป็นโรงแรม 55 แห่งและวิลล่าหรู 239 แห่ง และในปี 2568 จะรับรู้รายได้จากโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ เต็มปี หลังจากเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2567

 

ในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา แม้กลุ่มดุสิตธานีจะเผชิญกับปัจจัยท้าทายและความยากลำบาก ทั้งจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ วิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมถึงการตัดสินใจยุติการให้บริการโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ แห่งเดิม เพื่อสร้างโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ แห่งใหม่

ตลอดเส้นทางที่เราต้องเผชิญมาตลอดไม่ได้ง่ายเลย แต่เราทำได้ และขยายธุรกิจได้แบบนี้ นำธงไทยไปปักในประเทศต่างๆ เป็นกำลังใจ และความภูมิใจ ที่คณะกรรมการ ฝ่ายบริหาร รวมถึงพนักงานทุกคนของกลุ่มดุสิตธานี ได้ร่วมแรงร่วมใจกัน ผลักดันให้แผนกลยุทธ์ 9 ปีที่วางไว้สามารถเป็นไปตามเป้าหมายได้อย่างน่าพอใจ และพร้อมที่จะเดินไปด้วยกัน เพื่อให้ ดุสิตธานี กลับมาสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยบริการที่อบอุ่นแบบไทยตามเจตนารมย์ของท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ผู้ก่อตั้ง

รายงานโดย วารุณี อินวันนา