บีซีพีจี เปิดตัวเลขกำไร 1,139 ล้านบาท ไตรมาส 3 สวยอย่างที่คาดการณ์ โกยกำไรจากการขายโซลาร์ญี่ปุ่น กว่า 658 ล้านบาท ส่วนรายได้รวมลดลงเล็กน้อย โครงการในไทยมีค่าความเข้มของแสงลดลง
บริษัท บีซีพีจี (BCPG) แจ้งว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2561 มีกำไรสุทธิ 1,139 ล้านบาท พุ่งขึ้น 943 ล้านบาท คิดเป็น 481% จากที่มีกำไรสุทธิเพียง 196 ล้านบาทในระยะเดียวกัน และรวม 9 เดือนปีนี้กำไรทั้งสิ้น 1,909 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 797 ล้านบาทคิดเป็นประมาณ 71% จากที่มีกำไรสุทธิ 1,112 ล้านบาทในช่วงเดียวกันปีก่อน
กำไรที่เพิ่มขึ้นมากในไตรมาสที่ 3/2561 มาจากกำไรจากการขายโครงการโซลาร์ฟาร์มที่ญี่ปุ่น 2 โครงการ ได้แก่ Nagi และ Nikaho ให้แก่กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานของประเทศญี่ปุ่นจำนวน 794.7 ล้านบาท มีค่าใช้จ่ายภาษีจำนวน 136.3 ล้านบาท เหลือกำไร 658.3 ล้านบาท
ขณะที่รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าทั้งประเทศไทยและญี่ปุ่น 829.7 ล้านบาท ลดลง 2.8% จากไตรมาส 3/2560 และลดลง 5.1% จากไตรมาส 2/2561 สำเหตุหลักมาจากการลดลงของค่าความเข้มแสงในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์(COD)ของ โครงการโซลาร์สหกรณ์ ระยะที่ 2 โครงการอผศ. ที่เริ่มเปิด COD เป็นไตรมาสแรก โดยมีอัตราการรับซื้อไฟฟ้ารูปแบบ FiT ที่ 4.12 บาทต่อหน่วย ตั้งอยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรี มีสัญญาการรับซื้อไฟฟ้าที่ 5 เมกะวัตต์และโครงการที่จังหวัดสระบุรี มีสัญญาการรับซื้อไฟฟ้าที่ 3.94 เมกะวัตต์
สำหรับรายได้จากการดำเนินงานในประเทศญี่ปุ่น ในรูปสกุลเงินเยน เติบโต 5% จาก 497.4 ล้านเยน อยู่ที่ 522.1 ล้านเยน สาเหตุหลักมาจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ ของโครงการ Gotemba ที่ได้รับรายได้ในรูปแบบ FiT อัตรา 32 เยนต่อหน่วย กำลังการผลิตติดตั้ง 4.4 เมกะวัตต์และสัญญาการรับซื้อไฟฟ้าที่ 4.0 เมกะวัตต์ อย่างไรก็ตามรายได้ในรูปสกุลเงินบาทเติบโต 2.8% ส่วนผลงานรวม 9 เดือน/2561 บริษัทมีรายได้รวมลดลง 1.4%
นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งในประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่นยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้มี EBITDA ประมาณ 634 ล้านบาท สูงขึ้นกว่าปีที่แล้วประมาณร้อยละ 4 ในขณะที่โครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศฟิลิปปินส์มีผลการดำเนินงานดีขึ้นมากจากไตรมาสที่แล้ว
ส่วนโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพในประเทศอินโดนีเซียซึ่งรับรู้ผลกำไรเต็มไตรมาส ก็มีการปฏิบัติงานที่มีเสถียรภาพ ทำให้บริษัทฯ มีส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลงทุนทั้ง 2 แห่งประมาณ 222 ล้านบาทหรือสูงขึ้นกว่าปีที่แล้วประมาณร้อยละ 83 เป็นผลให้บริษัทฯ มี EBITDA รวมส่วนแบ่งการลงทุนดังกล่าวประมาณ 856 ล้านบาทหรือสูงขึ้นกว่าปีที่แล้วประมาณร้อยละ 17 ทั้งนี้ กำไรสุทธิไม่รวมการรับรู้กำไรจากการจำหน่ายทรัพย์สินและรายการพิเศษคิดเป็นเงินประมาณ 412 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วประมาณร้อยละ 14
“นอกเหนือไปจากผลการดำเนินธุรกิจ เมื่อเร็วๆ นี้ บีซีพีจีได้รับการประเมินในเรื่องการกำกับดูแลกิจการอยู่ในเกณฑ์ “ดีเลิศ” (Excellent) เป็นปีแรก จากผลการประเมินการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนไทย หรือ Corporate Governance Report (CGR) ประจำปี 2561 ตามโครงการสำรวจการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนเพื่อสำรวจและติดตามพัฒนาการด้านการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทย นอกจากนี้โครงการนำร่องซื้อขายไฟฟ้าในระบบ P2P ด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน T77 ก็ได้รับคัดเลือกจาก Solar Plaza ซึ่งเป็นสื่อของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญระดับโลกที่มีวัตถุประสงค์ที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีให้กับโลกด้วยการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน ให้เป็นหนึ่งในสิบลำดับแรกของโครงการด้านพลังงานและบล็อกเชน (Top 10 energy and blockchain projects) ในทวีปเอเชีย ซึ่งทั้ง 2 เรื่องนับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่ง” นายบัณฑิต กล่าว