ธนาคารโลกหั่นเป้าศก.ไทยปีนี้โต 3.4% บาทอ่อนจ่อ 37 -โพลชี้เป้า Q4 สูงสุด 1,619

HoonSmart.com>>ธนาคารโลกลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 66 เหลือ 3.4% จาก 3.9% ฟื้นช้ากว่าอาเซียน ส่งออกหดตัว-2.1% นายกฯและรมว.คลังหารือผู้ว่าธปท.กำหนดเป้า 4 ปี เศรษฐกิจโตเฉลี่ย 5%  ด้านโพลนักวิเคราะห์คาดไตรมาส 4 ดัชนีสูงสุดเฉลี่ย 1,619 ต่ำสุด 1,468 หั่นเป้าสิ้นปีเหลือ 1,606 ตามกำไรต่อหุ้น เชียร์ ADVANC, AOT, BDMS, CPALL, TOP  ดอกเบี้ยขึ้น อสังหาฯจุก ด้านบล.กรุงไทยฯ ลดเป้าปีนี้เหลือ 1,477  “ทรีนีตี้”  แนะใช้จังหวะต่ำกว่า 1,500 ซื้อรอขายปลายปี ด้านตลาดปิดที่ 1,469.46 จุด ติดลบ 1.97 จุด ได้ DELTA บวก 5.14%  เงินบาทจ่อ 37 บาทพรุ่งนี้ 

ธนาคารโลกปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปีนี้เหลือ 3.4% ในรายงานฉบับล่าสุดเดือนต.ค. ลดลงจาก 3.6% ที่คาดการณ์ในเดือนเม.ย.2566 การฟื้นตัวยังคงตามหลังประเทศในกลุ่มอาเซียน และปรับคาดการณ์ส่งออกหดตัว 2.1% (ในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ) การบริโภคภาคเอกชนและการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวอย่างค่อยเป็นค่อยไป จะช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและลดความยากจน อัตราเงินเฟ้อที่ลดลงและการอุดหนุนพลังงานจะช่วยลดแรงกดดันต่อค่าครองชีพและการบริโภคภาคเอกชน

อย่างไรก็ตามการอุดหนุนพลังงานจะทำให้การปรับภาวะการคลังให้เข้าสู่สมดุล (fiscal consolidation) ล่าช้า ขณะที่หนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น ผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศ และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านลบต่อแนวโน้ม

“การเติบโตคาดว่าจะเร่งขึ้นจาก 2.6% ในปี 2565 เป็น 3.4% ในปี 2566 แต่ได้ปรับลดลงจาก 3.6% โดยมีสาเหตุหลักมาจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนที่แข็งแกร่ง แต่การหดตัวของการส่งออกเป็นความท้าทาย เพราะตามความต้องการที่ลดลงของประเทศเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว การเปลี่ยนผ่านไปสู่รัฐบาลใหม่ที่ใช้เวลานานจะทำให้การลงทุนภาครัฐและเอกชนล่าช้า การเติบโตในปี 2567 และ 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ 3.5% และ 3.3% การท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนคาดว่าจะช่วยชดเชยความต้องการภายนอกที่ซบเซาได้ และคาดว่านักท่องเที่ยวจะแตะระดับก่อนการแพร่ระบาดภายในสิ้นปี 2567”

อัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะอยู่ที่ 1.5% ในปี 2566 ซึ่งต่ำกว่าระดับที่เห็นในประเทศตลาดเกิดใหม่ส่วนใหญ่ แนวโน้มนี้มีสาเหตุมาจากการราคาพลังงานทั่วโลกที่ลดลงและการตรึงราคาสูงสุดไว้ต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความเสี่ยงที่สูงขึ้นต่ออัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่มาจากการบริโภคที่เพิ่มขึ้นและราคาอาหารโลกที่สูงขึ้น ด้วยความคืบหน้าช้าของการการปรับภาวะการคลังให้เข้าสู่สมดุลอันเนื่องมาจากการขยายการอุดหนุนพลังงาน หนี้สาธารณะคาดว่าจะอยู่ในระดับสูงกว่า 60% ของ GDP จนถึงสิ้นปี 2566 บัญชีเดินสะพัดคาดว่าจะเปลี่ยนจากการขาดดุลจำนวนมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาและเข้าสู่การเกินดุลในปี 2566

สำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ หลังจากธนาคารกรุงเทพ (BBL) นำปรับขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา  ธนาคารทหารไทยธนชาต(TTB) และธนาคารไทยพาณิชย์ ปรับขึ้นตาม ซึ่งจะยิ่งสร้างแรงกดดันต่อการเติบโตของเศรษฐกิจและต้นทุนของธุรกิจ โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากู้ประกอบการต้องใช้เงินในการลงทุนขยายธุรกิจ ขณะเดียวกันคนซื้อบ้าน ก็มีต้นทุนดอกเบี้ย ทำให้กำลังซื้อลดลง

เมื่อวันที่ 2  ต.ค.2566 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง หารือผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมและนโยบายที่รัฐบาลกำลังจะดำเนินการเพื่อรับฟังความเห็น ข้อมูล และข้อเสนอของ ธปท. ยืนยันว่าไม่มีความขัดแย้ง โดยนายกฯ ระบุว่ารัฐบาลกำหนดเป้าหมายเศรษฐกิจโตเฉลี่ย 5% ตลอด 4 ปีนี้ และทำให้รายได้ขั้นต่ำถึง 600 บาทในปี 2570 เป็นจุดเริ่มต้นของแผนการมุ่งหน้าสู่การเป็นประเทศรายได้สูง

สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เผยผลสำรวจนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนรวม 26 สำนัก พบไตรมาส 4/2566 คาดจุดสูงสุดของ SET Index เฉลี่ยที่ 1,619 ต่ำสุด 1,468 หั่นเป้าดัชนีฯสิ้นปีเหลือ 1,606 จากเดิม 1,630 จุด กำไรต่อหุ้น( EPS) ปี 66 ลดเหลือ 89.04 บาท จากเดิม 93.21 โตเฉลี่ย 6.51% ก่อนฟื้นในปี 2567 ที่คาด EPS จะขึ้นไปที่ 99.47 บาท โตเฉลี่ย 12.03% เชียร์ ADVANC, AOT, BDMS, CPALL, TOP

บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง (KTX) ประเมินเศรษฐกิจไตรมาส 4/66 ยังอยู่ในช่วงตกหลุมอากาศ เครื่องจักรกลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวได้เต็มที่ การเร่งตัวของผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี กดดันการประเมินมูลค่าตลาดหุ้นไทย ปรับเป้าหมาย SET ลงมาที่ 1,477 จุด กรอบเคลื่อนไหว 1,384 – 1,584 จุด เพิ่มน้ำหนักกลุ่ม Global play รับราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น มองหุ้นเกี่ยวข้องปัจจัยในประเทศ เลือกเก็งกำไรเฉพาะตัวที่มีปัจจัยหนุน

บล.ทรีนีตี้ ประเมินไตรมาส 4 ตลาดหุ้นจะเจอจุดต่ำสุดชั่วคราวในช่วงแรก หลังจากนั้นจะทยอยปรับตัว Sideways up ขึ้นได้ แนะใช้จังหวะดัชนีหุ้นต่ำกว่า 1,500 เข้าซื้อ หุ้น 2 กลุ่มใหญ่ที่อิงมาตรการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ และหุ้นเชื่อมโยงเศรษฐกิจโลกที่ยังแกร่ง คาดเห็นดัชนีหุ้นทั่วโลกจะมีการปรับตัว Relief rally ขึ้นได้ช่วง 1-3 เดือนหลังเฟดประชุมนัดสุดท้ายของปีช่วงปลาย ต.ค. เต็มที่ขยับดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ส่วน กนง.จบรอบการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว

ตลาดหุ้นวันที่ 2 ต.ค. 2566 ดัชนีแกว่งผันผวนสูงมากกว่า 15 จุด ช่วงเปิดตลาดบวกก่อนปรับตัวลงต่ำสุดแตะ 1,461.66 จุด หรือ -9.77 จุด กลับตัวเร็วดีดขึ้นสูงสุดแตะ 1,478.01 จุด บวก 6.58 จุด และปิดที่ระดับ 1,469.46 จุด ติดลบ 1.97 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 45,365.30 ล้านบาท โดย DELTA aฟื้นตัวหลังจากดิ่งลงแรงกว่า 20% เมื่อวันก่อน ราคาดีดตัวขึ้นสูงสุด 89 บาทก่อนปิดที่ 87 บาทท บวก 4.25 บาทหรือ 5.14% สำหรับนักลงทุนรายกลุ่มมีการซื้อขายและขายไม่มาก โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 669.62 ล้านบาท แต่ซื้อตราสารหนี้ 2,435 ล้านบาท

ส่วนค่าเงินบาท ปิด 36.93 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าสุดรอบ 11 เดือน อ่อนค่าที่สุดในภูมิภาค นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา คาดแนวโน้มพรุ่งนี้มีโอกาสอ่อนค่าทะลุ 37 บาท กรอบเคลื่อนไหว 36.85 – 37.10 บาท/ดอลลาร์