“ฟิทช์”ปรับแนวโน้มเครดิต TOP เป็นบวกจากลบ คาด EBITDA ลดต่ำกว่า 4.5 เท่า/กำไรเพิ่ม

HoonSmart.com>>ฟิทช์ เรทติ้งส์ คงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของไทยออยล์ (TOP) ที่ A +ระยะสั้น F1 ปรับแนวโน้มมีเสถียรภาพ จากลบ คาด EBITDA ลดต่ำกว่า 4.5 เท่าหนุนความสามารถในการทำกำไรเพิ่มขึ้น

บริษัทฟิทช์ เรทติ้ง ประเทศไทย ระบุว่า การปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัท ไทยออยล์ (TOP) มีเสถียรภาพเพราะคาดว่า อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA net leverage) จะปรับตัวลดลงไปอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 4.5 เท่าในปี 2568 หลังจากที่จะเพิ่มขึ้นในปี 2566-2567 ตามที่ได้ประมาณการเอาไว้ และเชื่อว่า ความเสี่ยงที่การก่อสร้างโครงการ Clean-fuel หรือ CFP ให้แล้วเสร็จจะล่าช้าออกไปอีก ลดลงอย่างมาก โดย ณ สิ้นเดือนก.ค.ที่ผ่านมา โครงการ CFP มีความคืบหน้าในการก่อสร้างไปแล้วประมาณ 93% และบริษัทฯ คาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2566 ฟิทช์คาดว่ากำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก จากกำลังการกลั่นน้ำมันที่มากขึ้น และการผลิตน้ำมันที่มีมูลค่าสูงได้มากขึ้น รวมถึงค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนที่ลดลง จะช่วยทำให้บริษัทฯ สามารถลดอัตราส่วนหนี้สินอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ปี 2568

ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต

กระแสเงินสดจากการดำเนินงานโครงการ CFP เริ่มในปี 2568: บริษัทฯ ยังคงวางเป้าหมายที่จะเริ่มการผลิตของโครงการ CFP บางส่วนในปี 2567 และดำเนินการผลิตเต็มรูปแบบในทุกหน่วยการผลิตได้ในช่วงต้นปี 2568 โดยบริษัทฯ มีแผนที่จะเริ่มการผลิตหน่วยการผลิต Hydrodesulphurization unit เป็นอันดับแรกในช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 เพื่อช่วยผลิตผลิตภัณฑ์น้ำมันตามมาตรฐานยูโร 5 ซึ่งสอดคล้องกับมาตรการของภาครัฐฯ และมีส่วนต่างราคาที่มากกว่าผลิตภัณฑ์น้ำมันตามมาตรฐานยูโร 4 ประเทศไทยจะเริ่มบังคับใช้ผลิตภัณฑ์น้ำมันตามมาตรฐานยูโร 5 ตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 เป็นต้นไป โดยไม่ได้รวมกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของโครงการ CFP ที่อาจจะเกิดขึ้นในปี 2567 ในประมาณการนี้

กระแสเงินสดจากการดำเนินงานอ่อนตัวลง: คาดว่ากำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของ TOP จะลดลงไปอยู่ที่ประมาณ 2.4 หมื่นล้านบาทในปี 2566 จาก 3.4 หมื่นล้านบาทในปี 2565 เนื่องจากคาดว่าค่าการกลั่นน้ำมันจะอ่อนตัวลงจากค่าการกลั่นน้ำมันที่อยู่ในระดับสูงมากในปี 2565 แต่ยังคงอยู่ในระดับที่สูง และสูงกว่าระดับเฉลี่ยตลอดวัฏจักรของอุตสาหกรรม และคาดว่าค่าการกลั่นน้ำมันของ TOP จะกลับไปอยู่ในระดับเฉลี่ยตลอดวัฏจักรของอุตสาหกรรมในปี 2567 จากการคาดการว่าอุตสาหกรรมจะเริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติ

แผนการลงทุนที่ไม่สามารถเลื่อนได้ในระดับสูง: TOP มีค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนที่ไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ในระดับสูงในปี 2566-2567 เนื่องจากบริษัทฯ กำลังก่อสร้างโครงการ CFP รวมทั้งบริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนที่ต่ำกว่าที่คาดในปี 2565 ซึ่งส่วนที่ต่ำกว่าที่คาดนั้น ฟิทช์คาดว่าจะถูกนำมาใช้ในปี 2566-2567 นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังก่อสร้างโรงไฟฟ้าขนาดเล็กที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง เพื่อทดแทนโรงไฟฟ้าเดิม ซึ่งได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. ที่ผ่านมา TOP มีแผนจะใช้เงินลงทุนจำนวนประมาณ 1.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ไม่รวมเงินที่คาดว่าจะได้จากการขายหน่วย Energy Recovery (ERU)) โดยเงินลงทุนส่วนใหญ่จะใช้ในโครงการ CFP ในปี 2566-2568 ซึ่งจะทำให้ TOP มีกระแสเงินสดสุทธิเป็นลบในปี 2566-2567

การขยายเทอมการชำระเงินช่วยเสริมความคล่องตัวทางการเงิน: มองว่าการขยายเทอมการชำระเงินในการซื้อน้ำมันดิบกับบริษัท ปตท. หรือ ปตท. (มีอันดับเครดิตที่ BBB+/AAA(tha) แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ นั้น จะช่วยเพิ่มความคล่องตัวทางการเงิน และเสริมสภาพคล่องให้กับ TOP ในการบริหารจัดการอัตราส่วนหนี้สินในช่วงที่มีการลงทุนสูง บริษัทฯ ได้มีการเพิ่มเทอมการชำระเงินดังกล่าวเป็น 90 วัน ณ สิ้นปี 2565 จากปกติ 30 วัน โดยคาดว่า TOP จะยังคงรักษาเทอมการชำระเงินดังกล่าวที่ 90 วันในปี 2566-2567 และค่อยๆ ปรับลดลงเหลือ 30 วันในปี 2569 หลังจากโครงการ CFP ดำเนินงานเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบในทุกหน่วยการผลิต

อัตราส่วนหนี้สินที่สูงชั่วคราว: คาดว่าค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนของโครงการ CFP จะทำให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของ TOP เพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 6.0 ถึง 6.5 เท่าในปี 2566-2567 (ในปี 2565 อยู่ที่ 3.7 เท่า) อย่างไรก็ตาม คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินสุทธิดังกล่าวจะปรับลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 4.0 เท่าในปี 2568 หลังจากที่บริษัทฯ ได้รับกระแสเงินสดจากการดำเนินงานจากโครงการ CFP

CFP เพิ่มศักยภาพธุรกิจ: CFP จะช่วยเพิ่มกำลังการกลั่นน้ำมันของ TOP และความสามารถในการผลิตน้ำมันที่มีมูลค่าสูงได้มากขึ้น และทำให้บริษัทฯ สามารถกลั่นน้ำมันดิบชนิดหนักมากขึ้นได้ กระบวนการกลั่นน้ำมันแบบคอมเพล็กซ์และอัตราการใช้กำลังการกลั่นที่สูงของ TOP ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางด้านต้นทุน เพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดหาน้ำมันดิบ และช่วยให้บริษัทฯ สามารถบริหารกำลังการผลิตเพื่อเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ มีอัตราส่วนกำไรที่สูงขึ้นกว่าในปัจจุบัน และสูงกว่าเมื่อเทียบกับโรงกลั่นอื่นๆ ในประเทศ

การขยายกิจการเข้าสู่อุตสาหกรรมปิโตรเคมีตามแผน: การเข้าซื้อหุ้น PT Chandra Asri Petrochemical Tbk หรือ CAP เป็นไปตามแผนของบริษัทฯ ในการกระจายแหล่งที่มาของกำไรที่ปัจจุบันมาจากธุรกิจปิโตรเลียมเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม TOP มีความสามารถในการเข้าถึงกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของ CAP ในระดับจำกัด ซึ่งจะอยู่ในรูปของเงินปันผลรับ เนื่องจาก TOP เป็นผู้ถือหุ้นส่วนน้อย

อย่างไรก็ตาม TOP จะได้รับประโยชน์จากสัญญาซื้อขายวัตถุดิบ (Feedstock sales and purchase agreement) กับ CAP ซึ่งจะช่วยรองรับก๊าซปิโตรเลียมเหลว (Liquefied petroleum gas) และแนฟทา (Naphtha) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์จากโครงการ CFP แม้ว่าข้อตกลงเรื่องราคาและข้อตกลงอื่นๆ เป็นไปตามเงื่อนไขการค้าที่ยุติธรรม (Arm’s length) การลงทุนเพิ่มเติมจำนวน 270 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ใน CAP ได้มีการเลื่อนออกไป เนื่องจาก CAP ได้เลื่อนการตัดสินใจในการลงทุนขยายกำลังการผลิตในโครงการ CAP2 ออกไปก่อน

ความสัมพันธ์กับปตท.: อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ TOP ได้มีการพิจารณารวมถึงการปรับเพิ่มอันดับเครดิตขึ้นสองอันดับ จากสถานะเครดิตโดยลำพัง (Standalone Credit Profile) ของบริษัท ที่อยู่ที่ ‘a-(tha)’ ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงแรงจูงใจในการให้การสนับสนุนแก่ TOP ในระดับปานกลาง ตามหลักเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตของฟิทช์ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทแม่กับบริษัทลูก (Parent and Subsidiary Rating Linkage Methodology) ฟิทช์เชื่อว่าธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่น ซึ่ง TOP เป็นหนึ่งในบริษัทหลักของธุรกิจนี้ มีความสำคัญต่อ ปตท. ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ฟิทช์พิจารณาว่า แรงจูงใจ ในการให้การสนับสนุนแก่ TOP ในด้านความสำคัญทางกลยุทธ์ (Strategic incentive) และความสำคัญทางด้านดำเนินงาน (Operational incentive) อยู่ในระดับปานกลาง ในขณะที่แรงจูงใจทางกฎหมาย (Legal incentive) อยู่ในระดับต่ำ