IPO คึกคัก AAI แจกวันแรก 60% BTG ชูกำไรพุ่ง-มาร์จิ้นสูง

HoonSmart.com>> ฟันด์โฟลว์ยังคงไหลบ่าเข้าหุ้นไทยวันนี้กว่า 6.1 พันล้านบาท หนุนดัชนีวิ่ง 1.05% ปลุกตลาด IPO สดใสด้วย ไล่ราคา “เอเชี่ยน อะไลอันซ์ฯ” ปิดเกือบไฮ 8.90 บาท วันแรกแจกกำไร 60.36% “เบทาโกร” พร้อมเข้าเทรดใน SET 2 พ.ย. กลยุทธ์มุ่งเพิ่มอัตรากำไรสุทธิสำเร็จ จาก 2.7% เพิ่มเป็น 7.2% หนุนกำไร 6 เดือน 3,839 ล้านบาท เพิ่ม 220% ไตรมาส 2 พุ่ง 370% ด้าน KLINIQ  หุ้น High margin ลุ้นโตแรง 3 ปีต่อเนื่อง

บริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล(AAI) ลูกรักของ ASIAN เข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET) ไม่ทำให้นักลงทุนผิดหวัง เปิดที่ 7.90 บาทลงไปต่ำสุดเพียง 7.30 บาท ก่อนวิ่งไปสูงสุดแตะ 9 บาท และปิดที่ 8.90 บาท เพิ่มขึ้น 3.35 บาท หรือ +60.36% จากราคาขาย IPO ที่ 5.55 บาท มูลค่าซื้อขาย 7,406.25 ล้านบาท แรงไล่ซื้อเข้ามาในช่วงบ่ายตามเงินทุนต่างประเทศไหลเข้ามา ปลุกให้บรรยากาศการซื้อขายหุ้นโดยรวมคึกคัก ดัชนีเพิ่ม 16.97 จุดหรือ 1.05%

บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ฯว่า บริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล เป็นเครื่องยนต์หลักของ ASIAN ที่มีผลประกอบการเติบโตอย่างก้าวกระโดด มีกำไร ปี2562-2564 เติบโตเฉลี่ยหรือ CAGR ที่ราว 96% จากอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงโลกที่เติบโตอย่างมั่นคงและต่อเนื่องที่ราว 9%

ทั้งนี้ มองว่าจุดแข็งของบริษัทคืออยู่ในอุตสาหกรรมที่ไทยมีความได้เปรียบคู่แข่งจากภาพครัวของโลกให้ทั้งคนรวมถึงสมาชิกในครอบครัวอย่างน้องหมาน้องแมวอิ่มอร่อย โดยมองไทยจะขึ้นเป็นผู้ส่งออกอาหารสัตว์เ์ลี้ยงอันดับ 2 ของโลกได้ในปีหน้า Outperform ภาพอุตสาหกรรมโลกได้ไม่ยาก จากการมีวัตถุดิบห่วงโซ่อุปทาน และความรู้ความสามารถพร้อมอยู่แล้ว นอกจากนี้ AAI ยังเริ่มมีการสร้างแบรนด์ของตัวเอง เพื่อต่อยอดความรู้เชิงปฏิบัติการต่อไปในอนาคต

ทั้งนี้ Consensus คาดกำไรปีนี้และปีหน้าอยู่ในกรอบ 740-760 ล้านบาท และ 850-870 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งหากอิง PER ที่ 18-20 เท่า จากการเทียบเคียงกับ Peers จะได้ราคาเป้าหมายอยู่ในกรอบราว 7.40-8.20 บาท

ด้านบริษัท เบทาโกร (BTG) บริษัทอาหารชั้นนำระดับสากลที่มีโมเดลธุรกิจเกษตรและอาหารครบวงจรครอบคลุมตลอดห่วงโซ่คุณค่าตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำเตรียมเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายใน SET วันที่ 2 พ.ย.2565 ในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดอาหารและเครื่องดื่ม ที่มีมูลค่าเสนอขายสูงที่สุดในตลาดทุนไทยและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2565

นายวสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบทาโกร เปิดเผยว่า บริษัทมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ BTG จะได้เข้าเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของบริษัทในการมุ่งสู่การเป็นบริษัทอาหารชั้นนำระดับสากลที่ให้ความสำคัญในเรื่องคุณภาพและความปลอดภัยด้านอาหารในราคาที่เป็นธรรม โดยเชื่อมั่นว่าความแข็งแกร่งด้านเงินทุน ประกอบกับประสบการณ์ยาวนานในธุรกิจกว่า 55 ปี และปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของธุรกิจ จะเสริมให้บริษัทมีศักยภาพการเติบโตและการแข่งขันอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนทั้งในและต่างประเทศ

บริษัทฯ เสนอขายหุ้นในราคา 40 บาทต่อหุ้น มีแผนจะนำเงินไปเป็นทุนในการขยายธุรกิจตลอดห่วงโซ่คุณค่าทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงการขยายกำลังการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต ตลอดจนชำระคืนหนี้สถาบันการเงิน และเป็นเงินทุนหมุนเวียน BTG มีนโยบายในการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่า 30% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการ

ทั้งนี้ หลัง IPO จะมีผู้ถือหุ้นใหญ่ ได้แก่ บริษัท เบทาโกร โฮลดิ้ง ถือหุ้น 36.18% TAE HK Investment Limited ถือหุ้น 20.67% และกลุ่มครอบครัวแต้ไพสิฐพงษ์ 15% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว

ด้านผลการดำเนินงานงวดไตรมาสที่ 2/2565 บริษัทฯมีกำไรสุทธิถึง 1,868.91 ล้านบาทหรือ 1.25 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 1,471 ล้านบาท พุ่งขึ้น 370% จากที่ทำได้จำนวน 397.53 ล้านบาทหรือ 0.66 บาทต่อหุ้น รวม 6 เดือนแรกปีนี้มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 3,838.94 ล้านบาท เท่ากับ 2.56 บาทต่อหุ้น เพิ่ม 2,639.94 ล้านบาทหรือประมาณ 220 % จากจำนวน 1,199.32 ล้านบาทหรือ 2 บาทต่อหุ้นในช่วงเดียวกันปีก่อน

กำไรที่ดีขึ้นมากมาจากรายได้รวมจำนวน 54,193 ล้านบาท เติบโต 26.1%จากจำนวน 42,975.5 ล้านบาท หลักๆมาจากการเติบโตจากรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการของทุกกลุ่มธุรกิจ ทั้งจากบริมาณและราคาขาย ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ของบริษัท ซึ่งเป็นไปมุ่งเน้นธุรกิจที่มีอัตรากำไรสูง รวมถึงกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงมากยิ่งขึ้น ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 6,683.8 ล้านบาท เป็น 10,051.8 ล้านบาท คิดเป็นเท่ากับ 15.7 % เป็น 18.8% และอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 2.7% เป็น 7.2%

ส่วนผลงานปี 2564 มีกำไรสุทธิ 1,010.52 ล้านบาทหรือ 3.07 บาท ลดลงเทียบกับปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2,360.65 ล้านบาทหรือ 7.87 บาทต่อหุ้น

บริษัท KLINIQ  ผู้นำสุขภาพ-ความงามครบวงจร หุ้น High margin ลุ้นโตแรง 3 ปีต่อเนื่อง

นายพายุพัด มหาผล กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บล.หยวนต้า ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นเพิ่มทุนของบริษัท กิจเจริญ เอ็นจิเนียริ่ง อีเลคทริค (KJL) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมลงนามแต่งตั้งบล.หยวนต้าเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นเพิ่มทุน พร้อมกำหนดราคาขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 30 ล้านหุ้น  พาร์  0.50 บาทต่อหุ้น  คาดว่าจะนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) หมวดสินค้าอุตสาหกรรม ภายในปี 2565

ทั้งนี้  KJL มีเป้าหมายการระดมทุนเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ  ก่อสร้างโรงงานใหม่และลงทุนในเครื่องจักรระบบอัตโนมัติ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต, ติดตั้งระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Rooftop), ลงทุนศูนย์นวัตกรรม (KJL Innovation Campus) เพิ่มขีดความสามารถด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม, ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ และชำระคืนเงินกู้ในระยะสั้น

“จุดแข็ง KJL ดำเนินธุรกิจด้วยทีมผู้บริหารมากประสบการณ์ ผู้เชี่ยวชาญที่มีศักยภาพ ตลอดจนการให้บริการที่มีคุณภาพ สามารถตอบโจทย์ตรงความต้องการของลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างครบวงจรมาเกือบ 3 ทศวรรษ จนได้รับการยอมรับจากลูกค้าและคู่ค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ จึงมั่นใจว่าการเสนอขายหุ้น IPO  จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เนื่องจาก KJL มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง เป็นบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมการผลิตตู้ไฟ รางไฟ ด้วยเทคโนโลยีจากญี่ปุ่นในประเทศไทย” นายพายุพัด กล่าว

ด้านตลาดหุ้น วันที่ 1 พ.ย.2565 ยังคงปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ดัชนีปิดที่ระดับ 1,625.73 จุด เพิ่มขึ้น 16.97 จุด หรือ +1.05% มูลค่าซื้อขาย 68,447.97 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 6,138 ล้านบาท ด้านนักลงทุนไทยขายหนักมือ 5,858 ล้านบาท

นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นวันนี้ปรับตัวขึ้นได้ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่ส่วนใหญ่จะเคลื่อนไหวในแดนบวก โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีน และฮ่องกง จะปรับตัวขึ้นแรง หลังมีข่าวสะพัดออกมาว่า จีนจะยกเลิก Zero Covid

ทั้งนี้ ตลาดฯได้รับแรงหนุนจาก Fund Flow ไหลเข้าต่อเนื่อง โดยเห็นได้จากมีแรงซื้อหุ้นขนาดใหญ่ และหุ้นที่ปรับตัวลงแรงก่อนหน้านี้ คือ หุ้น SCC, GULF, GPSC เป็นต้น อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามผลประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 2 พ.ย.นี้ และติดตามการทยอยประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนงวดไตรมาส 3/65 ต่อไป ส่วนสัปดาห์หน้าเกาะติดการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐ และตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐ

ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นในวันที่ 2 พ.ย.2565 ตลาดฯยังมีโอกาสปรับตัวขึ้น โดยมีแนวรับ 1,615 จุด แนวต้าน 1,630-1,650 จุด