ตลท.เผยต่างชาติเก็บหุ้นไทย 5 เดือนติด-ซื้อสุทธิปี 65 กว่า 1.18 แสนลบ.

HoonSmart.com>> ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผยนักลงทุนต่างชาติย้ายเงินทุนกลับเข้าตลาดหุ้นภูมิภาคอาเซียน หนุน 4 เดือนแรกปี 65 เงินไหลเข้าหุ้นไทยค่อนข้างมาก หุ้นกลุ่มเปิดเมืองขึ้นแรง “กลุ่มบริการ กลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่มทรัพยากร” ปรับตัวดีกว่าดัชนี หนุน P/E หุ้นไทย ณ สิ้นเม.ย.65 ขยับขึ้นแตะ 17.7 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยตลาดหุ้นในเอเชีย ด้านอัตราเงินปันผลตอบแทนหุ้นไทยยังสูงกว่าอยู่ที่ 2.66% ชี้ปัจจัยต่างประเทศกดหุ้นไทยเดือนเม.ย.ร่วงทิศทางเดียวกับภูมิภาค เทียบสิ้นปีก่อนยังเพิ่มขึ้น 0.6% ฟากนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 5 เดือนติดต่อกัน ดันยอดซื้อสุทธิปี 65 กว่า 1.18 แสนล้านบาท

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ผู้ลงทุนต่างชาติย้ายเงินทุนกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นในภูมิภาค ASEAN โดยใน 4 เดือนแรกปี 2565 มีเงินลงทุนเคลื่อนย้ายมายังตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมาก จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่มีการเติบโตสูงกว่ากลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว อีกทั้งนักวิเคราะห์ยังคงอัตรากำไรต่อหุ้นในอีก 12 เดือนข้างหน้าอยู่ที่เพิ่มขึ้น 10% จากสิ้นปี 2564

อย่างไรก็ดี ณ สิ้นเดือนเม.ย. 2565 SET Index ปิดที่ 1,667.44 จุด ปรับลดลง 1.6% จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ในภูมิภาค และเมื่อเทียบกับสิ้นปี 2564 SET Index ยังปรับเพิ่มขึ้น 0.6%

ขณะที่ SET Index ใน 4 เดือนแรกปี 2565 ได้แรงหนุนจากอุตสาหกรรมที่ได้รับอานิสงส์จากการกลับมาเปิดเมือง โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2564 ได้แก่ กลุ่มบริการ กลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่มทรัพยากร

สำหรับภาพรวมเดือนเม.ย.2565 ตลาดหลักทรัพย์ไทยได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย อาทิ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ลดประมาณการเติบโตเศรษฐกิจโลกในปี 2565 จากที่ประกาศในคราวก่อนหน้า ผลจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ปรับตัวสูงขึ้นมากโดยเฉพาะราคาพลังงานและอาหารที่คาดว่าจะยังอยู่ในระดับสูงจนถึงปี 2566

นอกจากนี้ การประกาศ Lockdown อย่างเข้มงวดในจีนตามนโยบาย Zero COVID Policy ทำให้ผู้ลงทุนกังวลเศรษฐกิจจีนชะลอตัว และเป็นการซ้ำเติมปัญหาห่วงโซ่อุปทานโลก ธนาคารกลางในหลายประเทศทั่วโลกถูกกดดันให้ต้องเลือกระหว่างการควบคุมเงินเฟ้อโดยดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัวมากขึ้น กับการรักษาการเติบโตของเศรษฐกิจซึ่งกำลังฟื้นตัวหลังจากเกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยนักวิเคราะห์คาดว่า FED จะขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเร็วกว่าคาด ทำให้ Real Yield ปรับเพิ่มขึ้นสวนทางกับดัชนีหุ้นสหรัฐฯ

ด้านมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai ในเดือนเม.ย.2565 อยู่ที่ 82,322 ล้านบาท ลดลง 11.8% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยใน 4 เดือนแรกปี 2565 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 93,245 ล้านบาท โดยผู้ลงทุนรายย่อยในประเทศกลับมามีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดที่ระดับ 43.75% ของมูลค่าการซื้อขายรวม ตามด้วยผู้ลงทุนต่างประเทศ 41.48% ซึ่งผู้ลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นเดือนที่ห้า โดยในเดือนเม.ย.2565 ผู้ลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 9,780 ล้านบาท ทำให้ใน 4 เดือนแรกปี 2565 ผู้ลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิรวม 118,120 ล้านบาท

บริษัทเข้าจดทะเบียนซื้อขายใหม่ใน SET 1 บริษัท ได้แก่ บริษัท เจดีฟู้ด (JDF) และใน mai 1 บริษัท ได้แก่ บมจ.ตาชำนิ (CEYE) Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนเม.ย.2565 อยู่ที่ระดับ 17.7 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 13.3 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 18.3 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 14.3 เท่า

อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนเม.ย.2565 อยู่ที่ระดับ 2.66% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 2.51%

สำหรับภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในเดือนเมษายน 2565 ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 379,723 สัญญา ลดลง 45.9% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures และ SET50 Index Futures อย่างไรก็ตาม ในช่วง 4 ปีเดือนแรกของปี 2565 TFEX ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 577,227 สัญญา เพิ่มขึ้น 8.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน