HoonSmart.com>>”ตาชำนิ”มองหาโอกาสโตจากทุกแพลตฟอร์ม ศึกษาการลงทุนในเทคโนโลยีบล็อกเชน รองรับการซื้อขายงานของบริษัท คาด 3 เดือนมีความชัดเจน สร้างโครงการระยะยาว 2-3 ปี ส่วนปี 65 คาดรายได้โตไม่ต่ำกว่า 20% หรือกว่า 300 ล้านบาท สูงกว่าก่อนช่วงโควิด ไตรมาส 2 ชะลอตามโลว์ซีซั่น แต่ดีขึ้นจากฐานต่ำปีก่อน ไทยเปิดเมือง ลูกค้าเอเชียเริ่มเข้ามา ธุรกิจไทยต้องโฆษณาแบรนด์ ทำการตลาด ออกสินค้าใหม่
นางสาวสุวรรณี สุวรรณแสงโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทตาชำนิ (CEYE) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาการลงทุนในเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) รองรับการซื้อขายงานที่บริษัทผลิตขึ้นเพื่อต่อยอดธุรกิจ เพราะเป็นเทคโนโลยีที่สามารถตรวจสอบได้ มีความถูกต้อง และ แม่นยำ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนของรูปแบบการลงทุนใน 3 เดือน และใช้ระยะเวลาอย่างน้อย 9 เดือนในการพัฒนา เพื่อสร้างโครงการระยะกลาง 2-3 ปี บริษัทมองทุกเทคโนโลยี สร้างโอกาสการเติบโตก้าวกระโดด และในการแข่งขันในตลาดโลก
” เราอยู่ในวงการโฆษณามานานกว่า 30 ปี ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า มีโอกาสไปประมูลงานและสร้างงานในภูมิภาค ซึ่งการทำงาน สร้างความเข้าใจสินค้าและบริการของลูกค้าต่อเนื่องยาวนาน จะยิ่งเข้าใจสินค้าและบริการของลูกค้าได้ดี ทำให้เรายังมีความสามารถในการแข่งขันได้ ขณะเดียวกันบริษัทมีการปรับตัวตลอดเวลา ก้าวให้ทันกับการโฆษณาที่เปลี่ยนแปลงไป ไปสู่สื่อออนไลน์ บริษัทมีความพร้อมในการหาโอกาสจากแพลตฟอร์มใหม่ ๆ”นางสาวสุวรรณี
ส่วนแนวโน้มการดำเนินงานในปี 2565 คาดว่ารายได้จะโตไม่ต่ำกว่า 20% ขึ้นไปสูงกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ในปี 2562 ที่มีรายได้ 300 ล้านบาท หลังเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 4/2564 และไตรมาสแรกปีนี้ ส่วนไตรมาสที่ 2 ชะลอตัวลงเป็นช่วงโลว์ซีซั่น แต่จะดีกว่าปีก่อนที่ฐานต่ำ CEYE อยู่ในอุตสาหกรรมโฆษณาโตตามเศรษฐกิจ
นอกจากนี้รัฐมีการผ่อนคลายมาตรการเดินทางเข้าประเทศ การเปิดเมืองยิ่งทำให้แต่ละบริษัทต้อง สร้างแบรนด์ และโฆษณาสินค้า ทำการตลาดได้เพิ่มขึ้น อาทิ ผลิตภัณฑ์ด้านอุปโภคบริโภค รถยนต์ไฟฟ้า และอื่นๆ รวมถึงผู้ประกอบการจากต่างประเทศเดินทางเข้ามายังประเทศไทยได้ง่ายขึ้น จะช่วยให้งานจากต่างประเทศเติบโตได้ บริษัทมีฐานลูกค้าสิงคโปร์ ฮ่องกง จีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย และสหรัฐอเมริกา ที่ผ่านมาสร้างรายได้สัดส่วน 10% ในปีนี้ลูกค้าเอเชียเริ่มกลับมาแล้ว แต่จีนยังไม่ได้เดินทางเข้ามา
สำหรับการใช้เงินที่เสนอขาย IPO นำไปสร้างสำนักงาน ลงทุนในอุปกรณ์ ชำระหนี้และเป็นเงินทุนหมุนเวียน สร้างรายได้ใหม่ๆ ก่อน IPO บริษัทมี D/E เป็น 0.4 เท่า ตอนนี้ลดลงเหลือ 0.2 เท่า ส่วนใหญ่มากกว่า มากกว่า 50%
ด้านหุ้น CEYE เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ(mai) วันแรก 29 เม.ย. 2565 เปิดกระโดดที่ 6.50 บาท และไล่ขึ้นไปสูงสุดแตะ 7.80 บาท แจกกำไรเกิน 100% แต่มาเจอแรงขายในช่วงบ่าย ร่วงลงไปต่ำสุดที่ 5.25 บาท ก่อนปิดที่ระดับ 5.35 บาท เพิ่มขึ้น 1.49 บาท คิดเป็นผลตอบแทนประมาณ 38.60% เทียบกับราคาขาย IPO ที่ 3.86 บาท มูลค่าการซื้อขายมากกว่า 3,148 ล้านบาท
อ่านข่าว