BAY กำไรปี 64 พุ่ง 46.7% รับกำไรพิเศษจากขาย ”เงินติดล้อ”

HoonSmart.com>>BAY แจ้งกำไรสุทธิปี 64 จำนวน 33,794 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46.7% จากปี 63 รับกำไรพิเศษจากขาย”เงินติดล้อ”ในไตรมาส 2/64 ขณะที่กำไรสุทธิจากดำเนินธุรกิจปกติในปี 64 อยู่ที่ 25,609 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.1% จากปี 63 โดยสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้น 3.1% จากปี 63, NPL Ratio อยู่ที่ 2.20% ณ สิ้นปี 64 จากปี 63 ที่ 2.00% อัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพเพิ่มขึ้นมาที่ 184.2% จาก 175.1% ในปี 63

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) และบริษัทในเครือ เปิดเผยผลประกอบการสำหรับปี 2564 มีกำไรสุทธิ จำนวน 33,794 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46.7% หรือจำนวน 10,754 ล้านบาท จากปี 2563 มีปัจจัยหลักคือกำไรพิเศษจากเงินลงทุนจากการขายหุ้นใน บริษัท เงินติดล้อ ในไตรมาส 2/2564 หากไม่รวมรายการพิเศษ กำไรสุทธิจากการดำเนินธุรกิจปกติในปี 2564 อยู่ที่จำนวน 25,609 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.1% หรือจำนวน 2,569 ล้านบาท จากปีก่อนหน้า

เงินให้สินเชื่อรวม เพิ่มขึ้น 3.1% หรือจำนวน 57,441 ล้านบาท จากเดือนธันวาคม 2563 สินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดใหญ่ และสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ขยายตัว 6.6% และ 3.9% ตามลำดับ

เงินรับฝาก ลดลง 3.0% จากสิ้นเดือนธันวาคม 2563 สะท้อนประสิทธิภาพการบริหารจัดการสภาพคล่องเชิงรุก ในการลดสัดส่วนเงินรับฝากประจำ และชดเชยด้วยเงินรับฝากออมทรัพย์และจ่ายคืนเมื่อทวงถาม

ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) จากการออกมาตรการช่วยกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและภาคธุรกิจผ่านการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อ ส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิในปี 2564 อยู่ที่ 3.24% จาก 3.47% ในปี 2563

รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจำนวน 12,243 ล้านบาท หรือ 37.5% จากปี 2563 โดยมีปัจจัยหลักมาจากการบันทึกกำไรจากเงินลงทุนจากการขายหุ้นเงินติดล้อ

อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กรุงศรียังคงบริหารค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินธุรกิจตามปกติอยู่ที่ 43.2% ในปี 2564

อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) อยู่ที่ 2.20% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2564 เทียบกับ 2.00% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563 กรุงศรียังคงรักษาระดับการตั้งเงินสำรองอย่างรอบคอบและระมัดระวัง โดยมีสัดส่วนการตั้งสำรองต่อสินเชื่อรวมที่ระดับ 167 เบสิสพอยท์ (Credit Cost) เพื่อรองรับความเสี่ยงที่อาจเพิ่มขึ้น

อัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ เพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับสูงสุดเท่าที่เคยบันทึกที่ 184.2% จาก 175.1% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563 ด้านอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (ของธนาคาร) อยู่ที่ 18.53% เพิ่มขึ้นจาก 17.92% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563

นายเซอิจิโระ อาคิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า การแพร่ระบาดโควิด-19 หลายระลอกในปีที่ผ่านมา และมาตรการควบคุมโรคที่เกี่ยวเนื่อง ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและธุรกิจชะลอตัวลง ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเกิดความล่าช้า โดยคาดว่า ปี 2564 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 1.2% และจะขยายตัว 3.7% ในปี 2565

ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 กรุงศรี ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับห้าในระบบเศรษฐกิจไทยจากมูลค่าสินทรัพย์ สินเชื่อและเงินรับฝาก และเป็นหนึ่งในสถาบันการเงินที่มีความสำคัญเชิงระบบ (D-SIB) มีสินเชื่อรวม 1.89 ล้านล้านบาท เงินรับฝาก 1.78 ล้านล้านบาท และสินทรัพย์รวม 2.5 ล้านล้านบาท ขณะที่เงินกองทุนของธนาคารอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 291.79 พันล้านบาท หรือเทียบเท่า 18.53% ของสินทรัพย์เสี่ยง โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นของเจ้าของคิดเป็น 13.56%

อ่านข่าว
KTC กำไรปี’64 นิวไฮ 6,251 ล้านบาท ลั่นเร่งเครื่องพอร์ตทะลุ 1 แสนลบ.
BBL ฟาดกำไร 26,507 ลบ.พุ่ง 54% รายได้งาม ตั้งสำรอง 3.4 หมื่นล.ปี64
KTB โกยกำไร 21,588 ลบ. เพิ่ม 29% สินเชื่อโต-ตั้งสำรองลด ปี’64
SCB กำไรปี 64 แตะ 3.55 หมื่นล. เพิ่ม 31% ตั้งเป้าปีนี้สินเชื่อโต 3-5% NPL ต่ำกว่า 4%
KBANK โกยกำไร 3.8 หมื่นลบ.ปี 64 โต 29% ตั้งสำรอง-NPLs ลดลง
KKP กำไร Q4/64 พุ่ง 83% ทะลุ 2 พันลบ. หนุนงบปีแตะ 6.3 พันล.
TISCO โชว์กำไร 6,781 ลบ.ปี 64 โต 11.8% เฉพาะQ4 กำไร 1,791 ลบ. เพิ่ม 9.47%
LHFG ขาดทุน 373 ลบ. Q4 เพิ่มสำรอง ปี 64 กำไรแค่ 1,383 ลบ.
CIMBT กำไรปี 64 แตะ 2.4 พันลบ. โต 89% ค่าใช้จ่ายลด