JMART เทคโฮลดิ้งคอมปานี เป้ากำไรโต 50% จ่อเข้า SET50

HoonSmart.com>>กลุ่มเจมาร์ทแจกกำไรปี 65 โตสูง 45-100% JMART มั่นใจถึง 50% ตามเป้า 3 ปีติด ทรานสฟอร์มสู่ Technology Invesment Holding โฟกัสเทคโนโลยีเร่งการเติบโต ลงทุนต่อยอดพันธมิตร ส่งบริษัทในกลุ่มเข้าตลาดหลักทรัพย์ คุยทริสเพิ่มเรทติ้ง ลดต้นทุนการเงิน มาร์เก็ตแคปทะลุ 8 หมื่นล้านบาท พร้อมเข้า SET 50  ด้าน “ซิงเกอร์” มีทุนหนา คืนหุ้นกู้ 1,500 ล้านบาท ไม่ต้องกู้ปล่อยสินเชื่อ ประหยัดดอกเบี้ย 200 ล้านบาท 

นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท (JMART) เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจว่าผลประกอบการในปี 2565 จะทำสถิติสูงสุดใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง คาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตได้ถึง 50% ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายสร้างกำไรเพิ่ม 50%ติดต่อกัน 3 ปี ปัจจัยหนุนมาจากการผนึกกำลังในเครือ JMART และการจับมือพันธมิตร ด้วย Exponential Growth หรือ J Curve ทำให้เกิด Ecosystem และโฟกัสด้านเทคโนโลยีมากขึ้น สร้างธุรกิจค้าปลีก และธุรกิจการเงิน ด้วยกลยุทธ์ทรานส์ฟอร์มธุรกิจจาก Investment Holding Company เป็น Technology Investment Holding Company (T-IHC) อย่างเต็มรูปแบบ ขับเคลื่อนด้วยพลังซินเนอร์ยี่  เทคโนโลยีและบล็อกเชน และบิ๊กดาต้า

แผนงานในปี 2565 กลุ่ม JMART จะเติบโตแบบยกกำลัง 2 จากการต่อยอดพลัง Synergy กลุ่มพันธมิตร โดยเฉพาะบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) ซึ่งจะเห็นเมกะโปรเจกต์ร่วมกันมากขึ้น และเตรียมนำเงินที่ได้รับจากการเพิ่มทุนในช่วงปลายปี 2564 มาเติบโตต่อยอดธุรกิจ นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาธุรกิจรูปแบบใหม่ที่เป็นแพลตฟอร์มด้านค้าปลีกและการเงิน คาดว่าจะได้เห็นความร่วมมือเกิดขึ้นในปีนี้อีก 2-3 ดีล เป็นพันธมิตรในกลุ่มค้าปลีกและการเงินที่สามารถเข้ามาต่อยอดการเติบโตของบริษัท

“เราสวนทางกับสตาร์ทอัพ ซึ่งขาดทุนได้ แต่ของผมขาดทุนไม่ได้ เราใส่แพลตฟอร์มทำให้กำไรและลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว 2 ปีที่เกิดโควิด เราได้พิสูจน์ผลงานได้ระดับหนึ่ง ธุรกิจและกำไร all time high  แต่ยังไม่รู้ว่าปีนี้จะทำได้แค่ไหน จึงให้ทุกบริษัทเติบโตด้วยการใช้เทคโนโลยี  มีแพลตฟอร์มอยู่แล้ว ทำให้โครงสร้างบริษัทแข็งแรงขึ้น  คุณภาพการเติบโตเป็นแนวตั้งมากขึ้น ด้วยมาร์เก็ตแคป 8 หมื่นล้านบาท น่าจะเข้าไปอยู่ใน SET 50 ได้ “นายอดิศักดิ์กล่าว

ทั้งนี้  JMART เข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 2552 ด้วยมาร์เก็ตแคปประมาณ 540 ล้านบาท ใช้เวลานานพอสมควร และผ่านอุปสรรคมามากจนซื้อบริษัทซิงเกอร์ ใส่เงินเข้าไปให้เติบโตขึ้นชัดเจน มาร์เก็ตแคปเป็น 4,000 ล้านบาท ประมาณ 6 ปี เติบโตเป็นเกือบ 8 หมื่นล้านบาท ถ้านับตั้งแต่วันแรกจนวันนี้ เติบโต 147 เท่า

นอกจากนี้บริษัทได้คุยกับบริษัททริสเรทติ้ง ในการปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือ ทำให้ต้นทุนการเงินถูกลง และทุกบริษัทได้เงินเพิ่มทุนไป ก็จะลดดอกเบึ้ยได้ชัดเจน ทำให้การเติบโตมากขึ้น

นายชลวุฒิ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JMART เปิดเผยว่า บริษัทได้วางงบลงทุนไว้ 2,000 ล้านบาท ส่วนหนึ่งจะใช้ลงทุนในบริษัท JayDee Group รวมตัวของผู้ประกอบการดีลเลอร์เครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วประเทศมามากกว่า 10 ปี ร่วมเป็นพันธมิตรกับ JMART จะช่วยให้สามารถแข่งขันได้มากยิ่งขึ้น และบริษัทจะนำสินค้าจาก เจ โมบาย หรือสินค้าอื่นๆ เข้าไปจำหน่ายยังหน้าร้านค้าต่างๆ ที่เข้ามาเป็นพันธมิตร และมีสินเชื่อเข้าไปเสริม

นอกจากนั้น จะนำเงินบางส่วนไปใช้ในการขยายกิจการร่วมทุนระหว่าง บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) และบริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง (GUNKUL) เพื่อขายอุปกรณ์ไฟฟ้าและโซลาร์โซลูชั่นผ่านเครือข่ายการจัดจำหน่ายและการจัดหาสินเชื่อ ซึ่งจะรับรู้รายได้และกำไรบางส่วนในปีนี้ คาดว่าจะนำบริษัทใหม่เข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ในอนาคต

นอกจากนี้ ยังเจรจากับพันธมิตรเพื่อที่จะจัดตั้งบริษัท Thailand Amz  เพื่อดูแลและพัฒนาแพลตฟอร์มที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้า จำหน่ายสินค้า และทำการตลาดผ่านออนไลน์ นอกจากนี้บริษัทยังคงมองหาการลงทุนเพื่อเพิ่มการเติบโตของบริษัท และเพิ่ม Ecosytem

ด้านนายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) ผู้นำธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพรายใหญ่ของประเทศ เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ากำไรปี 2565 โต 45% วางงบในการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพรวม 10,000 ล้านบาทสร้างสถิติสูงสุดใหม่ หลังจากที่ปี 2564 บริษัทได้ซื้อหนี้จำนวนมากและการเก็บเงินสด (Cash Collection) สูงขึ้น

ล่าสุด JMT ได้เปิดดีลร่วมลงทุนกับบริษัทในกลุ่มธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ในธุรกิจให้บริการงานติดตามหนี้ และธุรกิจบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ  คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 2 และทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ในไตรมาส 3 เป็นต้นไป และในปี 2566 คาดว่าจะรับรู้รายได้ได้เต็มปี

นายสุพจน์ สิริกุลภัสสร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท (J) ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า บริษัทโฟกัส 4 กลุ่มธุรกิจที่กลับมาทำกำไรแข็งแรง  จับมือกับบริษัทในกลุ่มในการขายบ้านมือสองพร้อมอยู่ถึง 100 ล้านบาท และปิดโครงการคอนโดมิเนียม   ทำศูนย์การค้าชุมชน คอมมูนิตี้ มอลล์เพิ่งเปิดที่รามอินทรา คู้บอน ใช้ที่ดินถึง 40 ไร่ รับรู้รายได้ได้เต็มปี และยังเป็นผู้นำซีเนียร์ เวลเนส อยู่ติดห้างสรรพสินค้า อยู่ในกรุงเทพ มีแผนชัดเจนใน 3 ปีจะเปิด 10 สาขาในกรุงเทพ

นายกิตติพงศ์ กนกวิไลรัตน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ากำไรสุทธิเติบโต 75% จากปี 2564 ที่ผ่านมาประสบความสำเร็จทำกำไรสูงสุด ขยายพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อ และพอร์ตสินเชื่อรถทำเงิน (C4C) เติบโตทะลุเป้าหมาย 10,500 ล้านบาท

“ปี 2565 คาดพอร์ตสินเชื่อรวมอยู่ที่ 15,500 ล้านบาท เปิดแฟรนไซส์หรือสาขาย่อย 7,000 แห่ง จากปีก่อนจำนวน 3,500  แห่งได้พันธมิตรทั้งเจมาร์ท และบีทีเอสควบคู่การบริหารจัดการต้นทุนการเงินที่ดี บริษัทมีทุนเพียงพอไม่ต้องใช้เงินกู้ จะจ่ายคืนมูลค่า  1,500 ล้านบาท  และขยายสินเชื่อโดยไม่ออกหุ้นกู้ คาดประหยัดดอกเบี้ย ร่วม200 ล้านบาท  นอกจากนี้ บริษัท เอสจี แคปปิตอล (SGC) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ SINGER จะเดินหน้าเข้าตลาดหลักทรัพย์ภายในครึ่งหลังของปี 2565 “นายกิตติพงศ์กล่าว

นายนราธิป วิรุฬห์ชาตะพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท โมบาย กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าปี 2565 รายได้เติบโต 50% หรือแตะ 12,500 ล้านบาท และกำไรที่เติบโตเท่าตัวจากการขยายสาขาผ่านการเปิดร้านเจมาร์ทซินเนอร์ยี่กับ SINGER และในพื้นที่ของบริษัทในเครือ และการขายสินค้าผ่านช่องทาง Synergy ด้วยสินเชื่อจาก KB J Capital และ SINGER

Mr. Won Suk Jung ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เคบีเจ แคปปิตอล (KB J) ผู้ให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ เปิดเผยว่า บริษัทจะขยายการปล่อยสินเชื่อให้ได้มากกว่า 2 เท่าของปี 2564 ที่ผ่านมา โดยได้เปิดตัว Cash Card “KashJoy Easy Card” ซึ่งจะทำให้เข้าถึงผู้บริโภคในประเทศไทยได้มากขึ้น โดยจะนำเอาเทคโนโลยีในการดำเนินงานทางด้านการเงินจากประเทศเกาหลีใต้ เข้ามาปรับใช้ในธุรกิจให้ได้มากที่สุด และตั้งเป้าจะเติบโตผลการดำเนินงานให้เติบโตได้ 2 เท่าจากปีที่ผ่านมา

นายธนวัฒน์ เลิศวัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เวนเจอร์ส   (J VENTURE) เปิดเผยว่า บริษัทฯ เดินหน้าขับเคลื่อนเทคโนโลยีและบล็อกเชน  ผสานพลังซินเนอร์ยี่ภายในกลุ่มเจมาร์ท โดยมี “JFIN” ซึ่งเป็น Utility Token  คาดจะได้เห็นความร่วมมือบีทีเอสกับ JFIN ไตรมาส 1 ปีนี้ เพื่อสร้างประสบการณ์ผู้บริโภคในยุคดิจิทัล และมุ่งสู่ JFIN Mass adoption  ปัจจุบันกลุ่มเจมาร์ทมีฐานลูกค้า 7 ล้านราย กลุ่มบีทีเอสมีมากถึง 30 ล้านราย