SENA ใช้กลยุทธ์เทกฯโครงการมาพัฒนาต่อ ซื้อแล้ว 3 โครงการ ดีลอีก 3-4 โครงการ

HoonSmart.com>>”เสนาดีเวลลอปเม้นท์ “มองเห็นโอกาสคอนโดมิเนียมหยุดสร้าง จับมือพันธมิตรญี่ปุ่น ใช้กลยุทธ์เทกโอเวอร์โครงการที่ดีมาพัฒนาต่อ ช่วยลดต้นทุน ความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนดี ซื้อมาแล้ว 3 โครงการ รวมกว่า 2 พันล้านบาท สร้างต่อกำลังเปิดขาย ย่านเจริญนคร รัตนาภิเบศร์ บางซื่อ-เตาปูน เสนอราคาดี ห้องละ 1.5-2.5 ล้านบาท เผยเจรจาซื้ออีก 3-4 โครงการ เตือนคนซื้อคอนโดฯคิดใหม่ หลังบีทีเอสยกเลิกตั๋วเดือน 30 วัน หาซื้อใกล้ที่ทำงานดีกว่าชานเมือง คำนวณค่าใช้จ่ายเดินทางไป-กลับเพิ่มกว่า 1 เท่าตัว 

น.ส.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ (SENA) เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์จะค่อยๆดีขึ้นในปี 2565 ตามภาวะเศรษฐกิจ บริษัทเสนาฯ ยังคงลงทุนต่อไป โดยร่วมลงทุนกับพันธมิตรญี่ปุ่น ใช้โมเดลในการซื้อโครงการที่หยุดพัฒนา แต่มีประสิทธิภาพ  หรือได้ใบอนุญาตการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) แล้ว ในราคาที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยลดเความเสี่ยงเรื่องการขอใบอนุญาต รวมถึงโครงการเสร็จเร็ว ได้ผลตอบแทนที่ดี โดยจะใช้เทคโนโลยี ช่วยในการพัฒนาสินค้าที่มีคุณภาพและตรงกับความต้องการของตลาด

ปัจจบันบริษัทฯ ซื้อโครงการแล้ว 3 ทำเล มูลค่ารวมมากกว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งกำลังเปิดขายประกอบด้วย 1.เจริญนคร 2.รัตนาธิเบศร์ 3.บางซื่อ – เตาปูน โดยทั้ง 3 โครงการ พัฒนาภายใต้แบรนด์ใหม่ “เฟล็กซี่ (FLEXI)” แบรนด์ที่สะท้อนความเป็นตัวตนของคนรุ่นใหม่ Gen Y & Gen Z และคนรุ่นใหม่ ในราคาที่ดีที่สุดในทำเลนั้น ยูนิตละ 1.5-2.5 ล้านบาท

นอกจากนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาเข้าซื้อโครงการคอนโดมิเนียม 3-4 โครงการ คาดว่าจะทยอยเห็นความชัดเจนภายในช่วงที่เหลือของปีนี้ เรื่องแหล่งเงินทุนไม่มีปัญหา นอกจากจะมาจากการร่วมทุนกับพันธมิตรแล้ว สถาบันการเงินยังให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี  บริษัทมีนโยบายรักษาอัตราหนี้สินต่อทุนให้ไม่เกินระดับ 2 เท่า และยังคงรักษากระแสเงินสดที่ได้จากการโอนกรรมสิทธิ์โครงการไว้

” เรามองเป็นโอกาสจากการที่มีคนหยุดทำคอนโดฯ แม้มีความเสี่ยง เรื่องค่าก่อสร้างแพง ขอ EIA ยาก ค่าที่ดินไม่ลดลงเลย แต่ตลาดจะกลับมา โดยเลือกซื้อของที่ EIA ผ่านแล้ว หรือเริ่มสร้างไปแล้วเยอะ สร้างใกล้เสร็จแล้ว ทำให้เราไม่ต้องอะไรบางอย่างต้นทุนถูกลง  แถมได้ราคาดี “น.ส.เกษรา

นอกจากนี้ยังมองว่าโครงการคอนโดฯที่ดี ต่อไปอาจจะไม่จำเป็นอยู่ใกล้เส้นทางรถไฟฟ้า โดยเฉพาะหลังจากบีทีเอสเลิกจำหน่ายตั๋วโปรโมชันเที่ยวเดินทาง 30 วัน ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก อุตสาหกรรมคอนโดฯเปลี่ยนแปลงไป หลังจากค่าเดินทางไป-กลับจะแพงขึ้น อาจจะมากกว่า 100% ที่ผ่านมาคอนโดฯบูมมาก เพราะรถไฟฟ้า ดังนั้นคนที่จะตัดสินใจซื้อคอนโดจะต้องหาทำเลใกล้ที่ทำงาน หรือที่เดินทางสะดวกช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้มาก

สำหรับเป้ายอดขายในปีนี้ บริษัทปรับลดลงเหลือ 7,111 ล้านบาท ส่วนยอดโอนปรับลดลงมาเหลือ 6,943 ล้านบาท โดยในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ส.ค. 2564) สามารถทำยอดขายได้แล้ว 3,200 ล้านบาท ปัจจุบันยอดรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ทั้งหมด 7,052 ล้านบาท สามารถรับรู้ในปีนี้ 3,689 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ธนาคารยังปล่อยกู้ยาก เนื่องจากระมัดระวังเรื่องหนี้เสีย ส่งผลให้มียอดปฎิเสธสินเชื่อสูงถึง 50% ขณะที่ปัญหาสินค้าล้นตลาดยังคงมีอยู่ต่อไป ทั้งคอนโดเหลืออยู่ 8.8 หมื่นยูนิต และทาวน์เฮ้าส์ 8.3 หมื่นยูนิต  โดยรัฐยังคงจำเป็นต้องออกมาตรการช่วยเหลือ  แต่จะต้องพิจารณาให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายให้มากที่สุด