โดย…สาธิต บวรสันติสุทธิ์, CFP นักวางแผนการเงิน
ช่วงนี้ ไม่ได้ออกไปข้างนอกเลย ทั้งที่ใจวิ่งไปอยู่ตามตลาดนัด ตามห้างที่ชอบไปทุกวัน เหตุผลก็เหมือนกับหลายๆคนตอนนี้ที่ขอปลอดภัยจากโควิด ล็อคดาวน์ตัวเองดีกว่า นี่ก็รอคิวฉีดวัคซีนอยู่ แม้จะมีข่าวคนแพ้ คนเสียชีวิตหลังฉีดวัคซีนบ้าง แต่ก็เชื่อมั่นในความรู้ จรรยาบรรณของบุคลากรสาธารณสุขไทยที่วางแผนทุกอย่างเพื่อสวัสดิภาพที่ดีที่สุดของคนไทย
เรื่องโควิด เราป้องกันหรือหลีกหนีจากความเสี่ยงที่จะติดโรคได้ แต่มีโรคหนึ่งที่เราหลีกหนีไม่ได้ถ้าไม่ตายก่อน ก็คือ โรคชรา
ตามนิยามขององค์การสหประชาชาติที่ว่า “เมื่อประเทศใดมีประชากร อายุ 60 ปีขึ้นไป เกินร้อยละ 10 หรืออายุ 65 ปีขึ้นไป เกินร้อยละ 7 ของประชากรทั้งหมด ถือว่าประเทศนั้นได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) และจะเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) เมื่อสัดส่วนดังกล่าว เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 20 และร้อยละ 14 ตามลำดับ”
ซึ่งประเทศไทยเป็นสังคมคนสูงอายุตามนิยามนี้เรียบร้อยแล้วตั้งแต่ปี 2548 คือ เกือบ 20 ปีมาแล้ว และตอนนี้ปัญหานี้ยิ่งรุนแรงมากขึ้น ข้อมูลจาก Bloomberg ปี 2019 พบว่า ปัญหาคนสูงอายุ และการที่คนไทยมีลูกน้อยลงจะทำให้ประฃากรไทยปรับลดลงจาก 70 ล้านคนในปี 2020 เหลือ 68 ล้านคนในปี 2040 โดยกลุ่มคนที่เพิ่มขึ้นคือ คนสูงอายุ กลุ่มคนที่ลดน้อยมากสุด คือ วัยทำงาน (อายุ 20-64 ปี)
ปัญหาคนสูงอายุจึงเป็นปัญหาที่หนักมากสำหรับคนที่จะอายุ 60 ในอีก 20 ปีข้างหน้า จะแก่ตัวโดยไม่มีลูกหลานคอยดูแล ดังนั้น หากวันหนึ่งเมื่อเราต้องเป็นผู้สูงอายุเอง เราจะดำเนินชีวิตอย่างไร จากรายงานวิจัย เรื่อง “สังคมผู้สูงอายุ เราจะเตรียมรับมืออย่างไร” โดย ไพโรจน์ วงศ์วุฒิวัฒน์ ธนาคารกรุงเทพ ปี 2552) พบว่า
• ด้านสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล ผู้สูงอายุ สูงถึงร้อยละ 97มีสวัสดิการค่ารักษาประเภทบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือบัตรทอง
• ด้านการทำงาน ผู้สูงอายุที่ยังทำงานอยู่ร้อยละ 51.0 ให้เหตุผลว่าต้องทำงานเพื่อเลี้ยงตนเองและครอบครัว ร้อยละ 36.5 เห็นว่าตนยังแข็งแรง ทำงานได้ อีกร้อยละ 12.5 ต้องส่งเสียบุตร เป็นอาชีพประจำไม่มีผู้ทำแทน และมีหนี้สิน
• ด้านแหล่งรายได้หลักในการดำรงชีวิตของผู้สูงอายุ คือ บุตร ร้อยละ 52.3 รายได้จากการทำงานของผู้สูงอายุเอง ร้อยละ 28.9 คู่สมรส ร้อยละ 6.1 เงินบำเหน็จบำนาญ ร้อยละ 4.4
จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ผู้สูงอายุต้องการความเอาใจใส่จากบุตรหลานมาก ไม่ว่าจะเป็นด้านการเงิน การรักษาพยาบาล การเอาใจใส่ ซึ่งนับว่ายังโชคดีที่คนไทยเรายังรักษาวัฒนธรรมการเป็นลูกกตัญญูเอาไว้ เพราะจากการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับผู้สูงอายุของสำนักงานสถิติแห่งชาติปี 2552 ที่สอบถามคนที่อยู่ในวัยทำงาน พบว่าลูกหลานหรือคนในวัยทำงานเห็นว่าควรดูแลเอาใจใส่สมาชิกผู้สูงอายุในครอบครัวถึงร้อยละ 64.6 แต่รายงานวิจัยดังกล่าวก็ให้ข้อมูลที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือ คนในวัยทำงานคิดว่าควรให้ความเอื้อเฟื้อแก่ผู้สูงอายุทั่วไปมีเพียงร้อยละ 20.2 เท่านั้น ตัวเลขนี้ตอกย้ำความ “ไม่เอาคนอื่นมากยิ่งขึ้น” ทั้งยังปัดภาระให้เป็นของรัฐบาลถึงร้อยละ 65 ที่ควรจัดงบประมาณให้ผู้สูงอายุอย่างทั่วถึงและเพียงพอ
ปัญหาก็คือ หากเราเป็นผู้สูงอายุที่ไม่มีบุตรหลาน (คนไทยเริ่มมีแนวโน้มนี้มากขึ้น เพราะเริ่มที่จะอยู่เป็นโสดมากขึ้น มีลูกน้อยลง) เราจะทำอย่างไร จะฝากชีวิตไว้กับรัฐบาลได้หรือไม่ แน่นอนคำตอบที่อยู่ในใจทุกท่านคงเหมือนกับผม ก็คือ พึ่งพาตนเองให้ได้ ปลอดภัยที่สุด คำถามที่จะถามต่อไปก็คือ เรามีการเตรียมตัวรึยัง และถ้าจะเตรียมตัว ควรเตรียมตัวอย่างไร
ทางสำนักงานสถิติแห่งชาติปี 2552 ได้นำเสนอผลการสำรวจเกี่ยวกับความคิดเห็นต่อการเตรียมตัวเข้าสู่วัยสูงอายุ พบว่าคนส่วนใหญ่ หรือ ร้อยละ 89.7 เห็นว่า ควรมีการเตรียมการเพื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ ในจำนวนนี้เห็นว่าควรเตรียมการในเรื่องเงินถึงร้อยละ 98.2 เตรียมการในเรื่องที่อยู่อาศัยร้อยละ 97.4 เตรียมการในเรื่องสุขภาพกาย ร้อยละ 96.3 เตรียมการในเรื่องสภาพจิตใจ ร้อยละ 93.9 เตรียมการหาผู้ดูแล ร้อยละ 88.6 และควรมีการเตรียมการเรื่องมรดก ร้อยละ 83.9
จะเห็นได้ว่า “การเตรียมตัวเรื่องเงิน” เป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจมากที่สุด และยิ่งหากช่วงเกษียณเรามีแนวโน้มต้องอยู่คนเดียวมากขึ้น อยู่นานขึ้น ฯลฯ เราก็ต้องวางแผนการเงินเพื่อวัยเกษียณให้ดี
อ่านบทความอื่นๆ
ความจริงความคิด : แก่อย่างมีความสุขต้อง 4 แก่ (ตอนที่ 1)
ความจริงความคิด : 10 คำถามที่พบบ่อย เมื่อจะต้องเช็คสิทธิ และใช้สิทธิบัตรทอง
ความจริงความคิด : ยิ่งเกิด covid ยิ่งกังวลเรื่องเงิน
ความจริงความคิด : การบริหารความเสี่ยงในการลงทุน
ความจริงความคิด : แม่ค้าตลาดนัด ระวังสรรพากรนัดเจอ