SVI รุกตลาดชิ้นส่วนกล้องวงจรปิดอัจฉริยะ คว้าออเดอร์มูลค่า 30 ล้านเหรียญฯ

HoonSmart.com>> “เอสวีไอ” รุกตลาดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์สำหรับกล้องวงจรปิดอัจฉริยะ ขานรับทั่วโลกก้าวสู่สมาร์ทซิตี้ ดันดีมานต์ความต้องการสินค้าภายใน 5 ปีข้างหน้าพุ่ง เดินเกมขยายฐานลูกค้าในเอเชีย หลังคว้าออเดอร์ลูกค้ารายใหม่จากญี่ปุ่น หวังดันสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นจากเดิม 20% ของพอร์ตรายได้รวม

นายสมชาย สิริปัญญานนท์ รองประธานฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เอสวีไอ (SVI) เปิดเผยว่า บริษัทฯ เล็งเห็นแนวโน้มเติบโตของกล้องวงจรปิดอัจฉริยะ (Security Network Camera) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากนโยบายภาครัฐในหลายประเทศที่ต้องการผลักดันเมืองหลวงให้เป็นสมาร์ทซิตี้ รวมถึงการนำเทคโนโลยี AI หรือปัญญาประดิษฐ์ เข้ามาช่วยยกระดับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เช่น การจดจำใบหน้า การจดจำป้ายทะเบียน การนับจำนวนคน การเฝ้าดูแลผู้ป่วยโควิด ทำให้มีความต้องการใช้กล้องวงจรปิดอัจริยะเพื่อเฝ้าระวังรักษาความปลอดภัยตามสถานที่ต่างๆ ภายในเมืองใหญ่และที่อยู่อาศัยมากขึ้น โดยประเมินว่ามูลค่าตลาดกล้องวงจรปิดในอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีมูลค่าเพิ่มเป็น 74.6 พันล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2568 จากปัจจุบันที่มีมูลค่า 45.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ และส่งผลให้ความต้องการชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์สำหรับกล้องวงจรปิดอัจฉริยะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

บริษัทฯ มีแผนขยายฐานลูกค้ารายใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะลูกค้าในภูมิภาคเอเชีย จากเดิมที่มีความแข็งแกร่งในตลาดภูมิภาคยุโรป ล่าสุด SVI ประสบความสำเร็จในการได้รับคำสั่งผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์สำหรับกล้องวงจรปิดอัจฉริยะจากลูกค้าในประเทศญี่ปุ่น โดยมีออเดอร์ผลิตสินค้าที่ 30 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2564 และเชื่อว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 50 ล้านเหรียญในปีถัดๆ ไป ดังนั้น บริษัทฯ ได้เตรียมความพร้อมสายการผลิตของโรงงานขึ้นที่ประเทศกัมพูชา โดยขยายการลงทุนเพิ่มพื้นที่อีก 10,000 ตารางเมตร รองรับโครงการดังกล่าวและออเดอร์ที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตอีกด้วย

“SVI สามารถใช้โซลูชั่นอัจฉริยะ (Smart Solution) โดยนำจุดแข็งด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์และฐานการผลิตที่แข็งแกร่ง ตอบสนองความต้องการชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์สำหรับกล้องวงจรปิดอัจฉริยะ เพื่อช่วยยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย พัฒนาไปสู่เมืองอัจฉริยะ (Smart City) และคุณภาพชีวิตของประชาชนที่ดีขึ้น” นายสมชาย กล่าว

ปัจจุบัน ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์สำหรับกล้องวงจรปิดอัจฉริยะเป็นหนึ่งในสินค้าเรือธงของบริษัทฯ โดยคาดว่าจากการรุกขยายตลาดใหม่ๆ ในครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มสัดส่วนรายได้จากกลุ่มผลิตภัณฑ์ดังกล่าวให้มากขึ้น จากปัจจุบันที่มีอยู่ 20% ของรายได้รวม