SCBAM : “FED ยังคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำต่อไป”

ในสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นส่วนใหญ่ค่อนข้างผันผวน จากหลายประเทศยังคงเผชิญกับการติดเชื้อของไวรัส COVID-19 ทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวค่อนข้างจำกัด ประกอบกับหลังจากการประชุมทาง FED ได้เปิดเผยรายงานการประชุมของรอบเดือน ก.ค. ชี้ว่าคณะกรรมการไม่ได้มีการหารือถึงมาตรการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม สะท้อนให้เห็นว่าความจำเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมอย่างไรก็ตามตัวเลข PMI ของประเทศส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ ยุโรป และจีนที่ยังคงอยู่ในแดนขยายตัว

ตัวเลขเศรษฐกิจไทยในไตรมาสสองหดตัว โดยหดตัวจากไตรมาสที่แล้วถึง -10.2%YoY สู่ระดับที่ -12.2% YoY จากภาคอุปสงค์ภายในประเทศนำโดยการบริโภคภาคเอกชนหดตัวถึง -6.6%YoYและอุปสงค์ต่างประเทศหดตัวจากภาคการส่งออกสินค้าและบริการที่อยู่ที่ระดับ -15.9% และ -70.4%YoY ตามลำดับ

ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือน ก.ค. ของสหรัฐฯ ฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยผลผลิตภาคอุตสาหกรรมฟื้นตัวขึ้นเป็น -8.2% YoY จากในเดือนก่อนที่ระดับ -11.0% เดือนก่อน ซึ่งผลผลิตเพิ่มขึ้นหลักจากกลุ่มสินค้าคงทน เช่น รถยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน สะท้อนว่าตัวเลขผลผลิตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ท่ามกลางอุปสงค์ทั้งในและนอกประเทศที่ฟื้นตัวอย่างจำกัด

ตัวเลข GDP ไตรมาส 2 ของญี่ปุ่นออกมาหดตัว โดยปรับลดลงจาก -2.7% เป็นที่ระดับ -27.8% QoQ, saar โดยนับเป็นการหดตัวต่อเนื่อง 3 ไตรมาส และรุนแรงที่สุดในรอบกว่า 60 ปี จากผลกระทบของการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศและอุปสงค์โลกที่อ่อนแอ สะท้อนให้เห็นจากตัวเลขภาคการบริโภคเอกชนที่หดตัวถึง -28.9% และการส่งออกที่หดตัวสูงถึง -56.0%

สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ กลับมารุนแรงอีกครั้ง หลังจากสหรัฐฯ และจีนมีการยกเลิกการประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงเพื่อติดตามผลข้อตกลงการค้า Phase 1 ซึ่งลงนามไปในเดือน ม.ค. 2020 ขณะที่ปธน. Trump ส่งสัญญาณกีดกันบริษัทจีนอื่นๆ เช่น Alibaba หลังจากที่แบนการใช้ Application ในจีน เช่น Tiktok และ Wechat ในช่วงที่ผ่านมา

บริษัทสหรัฐฯ ที่เกี่ยวข้องกับ Huawei ถูกนำเข้าบัญชีดำเพิ่มเติม ในวันที่ 17 สค. ที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์สหรัฐประกาศว่าจะออกมาตรการเข้มงวดยิ่งขึ้นกับ Huawei โดยการปิดช่องทางต่างๆเพื่อที่จะไม่ให้ Huawei เข้าถึงคอมพิวเตอร์ชิปโดยเด็ดขาดและสหรัฐฯ จะนำบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ Huawei อีก 38 บริษัท ใน 21 ประเทศเข้าสู่บัญชีดำ (blacklist) ซึ่งจะทำให้จำนวนบริษัทในกลุ่ม Huawei ที่อยู่ใน blacklist เพิ่มมาเป็น 152 บริษัท