โดย…สาธิต บวรสันติสุทธิ์, CFP นักวางแผนการเงิน
ในยุค VICA ที่เหตุการณ์ต่างๆมีความซับซ้อน ผันผวนรุนแรงและรวดเร็วมาก จนแทบคาดการณ์ไม่ได้เลยว่าพรุ่งนี้จะเกิดเหตุการณ์อะไรบ้าง ผลตอบแทนของการลงทุนของเราจะเป็นอย่างไร
ตัวอย่างง่ายๆ เรามักจะไม่รู้เลยว่ารัฐบาลจะออกกฎหมายอะไรออกมา หรือต่างประเทศจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นมาบ้าง ดังนั้นที่เห็นทำกันหลายคน ก็คือ ดูข่าวว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วเอามาตัดสินใจในการลงทุน แม้จะเป็นวิธีที่ดี แต่หลายครั้งข้อมูลเราก็รู้ช้าเกินไป โดยเฉพาะข้อมูลจากต่างประเทศ หรือ บางทีรู้ทันแต่ไม่รู้ว่าจะวิเคราะห์และตัดสินใจอย่างไรดี
ทางเลือกหนึ่งที่กูรูหลายคนแนะนำให้ใช้ คือ ให้มืออาชีพที่มีความรู้ความสามารถ มีเวลา มีข้อมูล มีเครื่องมือ มีอำนาจต่อรองสูงเป็นคนบริหารเงินให้เราดีกว่า เปรียบเสมือนเราเป็นไข้ก็ให้หมอเป็นคนรักษาดีกว่าหาซื้อยากินเอง เพราะอาจประหยัดค่าหมอในตอนแรก แต่อาจเกิดผลเสียที่ร้ายแรงในอนาคตได้
คนที่มีเงินมากหน่อยก็เลือกใช้ กองทุนส่วนบุคคล ส่วนคนที่ฐานะปานกลาง ก็เลือก กองทุนรวม เพราะเดี๋ยวนี้กองทุนรวมในเมืองไทยมีแทบทุกอย่าง อยากลงทุนหุ้นเทคโนฯ ก็มี สินค้าโภคภัณฑ์ก็มี health care ก็มี ฯลฯ เลือกได้ตามใจชอบ
แต่ประเด็น คือ จะเลือกกองทุนรวม เลือกอย่างไรดี
การลงทุนให้ได้ผลดี ต้องเลือกลงทุนโดยพิจารณาปัจจัย 3 อย่างให้สอดคล้องกัน คือ
• ตัวเรา
• ภาวการณ์ลงทุน
• ผลิตภัณฑ์การลงทุน
การเลือกกองทุนรวมจึงต้องเลือกให้เหมาะสม สอดคล้องทั้งตัวเราและภาวการณ์ลงทุน อีกทั้งตัวกองทุนที่เลือกก็ต้องดีเหมาะสมด้วย กลยุทธ์ในการเลือกจึงต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังนี้
1.กองทุนต้องเหมาะสมกับเป้าหมาย ความสามารถในการรับความเสี่ยง และเงื่อนไขหรือข้อจำกัดของผู้ลงทุน เช่น ถ้าเป้าหมายเราคือ การออมเพื่อมีความสำคัญสูง ระยะเวลาการลงทุนสั้น เช่น เงินเราสำรองไว้จ่ายค่าเทอมลูกในเทอมหน้า เราคงไม่เลือกกองทุนที่ให้ผลตอบแทนเยอะแต่เสี่ยง เราคงจะเลือกกจะไปกองทุนที่ไม่เสี่ยงหรือเสี่ยงที่จะขาดทุนน้อย และสามารถถอนได้ง่าย เช่น กองทุนรวมตลาดเงิน หรือกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น
แต่ถ้าเป้าหมายการออมเพื่อเกษียณอายุ แม้เป้าหมายจะสำคัญและเราก็มีระยะเวลาการลงทุนที่ยาวนานมากพอ เช่น 5 ปี 10 ปีขึ้นไป เราก็สามารถไปลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงมากขึ้นได้เพื่อหวังผลตอบแทนที่มากกว่าเงินเฟ้อ แต่ขณะเดียวกันเราก็ต้องเลือกที่จะกระจายความเสี่ยงด้วยการเลือกกองทุนที่หลากหลายประเภท ดังนั้นในพอร์ตของเราควรมีกองทุนรวมหุ้น กองทุนตราสารหนี้ กองทุนรวมที่ลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก ฯลฯ โดยปรับสัดส่วนกองทุนแต่ละประเภทให้เหมาะสมกับแต่ละคน
2.เลือกภาวการณ์ลงทุนให้เหมาะสม หรือ ที่เรียกว่า “Thematic Themes” ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่องในช่วงสิบปีที่ผ่านมา การลงทุนแบบ Thematic Themes จะมุ่งหวังผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวนั้นจะเน้นไปที่แนวโน้มสำคัญที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของเศรษฐกิจ เทคโนโลยี กฎหมาย นโยบายภาครัฐ และสังคมในระยะยาว เช่น การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ, เทรนด์เทคโนโลยี, การพัฒนาของสังคมเมือง (Urbanization), การพัฒนาด้านสาธารณสุขและการแพทย์, นโยบายของธนาคารกลาง, FinTech ฯลฯ
3.เลือกกองทุน การเลือกกองทุนรวม ก็เพื่อให้เหมาะสมกับตัวเราและภาวะการลงทุนนั่นเอง ประเด็นที่หลายคนสงสัยก็คือ ระหว่างตัวเรากับภาวการณ์ลงทุน ควรให้น้ำหนักปัจจัยไหนมากกว่ากัน หากเป็นการลงทุนเพื่อเป้าหมายระยะยาว ควรให้น้ำหนักกับปัจจัยผู้ลงทุนคือตัวเรามากกว่า
อย่างเช่น กรณีการบริหารเงินออมเพื่อจ่ายค่าเทอมลูกในเทอมหน้า ต่อให้วันนี้ตลาดหุ้นตกลงไปมาก เราก็ไม่ควรนำเงินออมก้อนนี้มาลงทุนในหุ้น เพราะมีความเสี่ยงสูง หากไม่เป็นอย่างที่คิด อาจส่งผลกระทบต่อการศึกษาของลูกได้ ดังนั้นหลักข้อแรกก็คือ
- a. เลือกประเภทกองทุน ดูนโยบายการลงทุนว่าเหมาะสมกับเราหรือไม่ หากเหมาะสมก็ดูว่าเหมาะสมกับภาวการณ์ลงทุนหรือไม่
- b. ดูพอร์ตการลงทุนของกองทุนว่ามีสัดส่วนลงทุนในหลักทรัพย์ที่สอดคล้องกับนโยบายมากน้อยเพียงใด และยังสามารถดูหลักทรัพย์ที่กองทุนเลือกลงทุนได้ด้วยว่าเป็นหลักทรัพย์ที่ดีหรือไม่
-
- c.
การลงทุน คือ การลงทุนในวันนี้เพื่อผลตอบแทนในอนาคต ผลตอบแทนที่ควรสนใจ คือ ผลตอบแทนที่เราได้รับจริงๆ คือ ผลตอบแทนที่หักค่าใช้จ่าย และ ภาษีไปแล้ว ดังนั้น เราจึงควรเลือกลงทุนใน
-
- i.
กองทุนที่ได้รับประโยชน์ทางภาษี เพราะเท่ากับเราได้รับประโยชน์จากภาษีเป็นผลตอบแทนพิเศษนอกเหนือจากผลตอบแทนจากกองทุน
- ii. กองทุนที่มีค่าใช้จ่ายต่ำ ซึ่งก็จะมีค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากผู้ถือหน่วยลงทุน เช่น ค่าธรรมเนียมขาย ค่าธรรมเนียมรับซื้อคืน ค่าธรรมเนียมการสับเปลี่ยนกองทุน กับค่าธรรมเนียมที่คิดจากกองทุน อย่างเช่น ค่าธรรมเนียมการจัดการ ค่าธรรมเนียมนายทะเบียน ค่าธรรมเนียมผู้ดูแลผลประโยชน์ ฯลฯ ควรเลือกกองทุนที่คิดค่าธรรมเนียมต่ำ
-
- d.
พิจารณาจากผลการดำเนินงานของกองทุนรวม
- สำหรับการพิจารณาผลตอบแทนเปรียบเทียบในแต่ละกองทุนนั้น กองทุนที่ดีควรมีผลการดำเนินงานดีกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ใช้เปรียบเทียบและค่าเฉลี่ยของกองทุนประเภทเดียวกันอย่างสม่ำเสมอ และควรพิจารณาผลการดำเนินงานในระยะเวลาการลงทุนให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ระลึกคำเตือนของสำนักงาน ก.ล.ต. ไว้เสมอนะ ที่ว่า “ผลตอบแทนในอดีตมิใช่สิ่งยืนยันผลตอบแทนในอนาคต…” แต่การที่กองทุนมีประวัติการลงทุนมายาวนาน จะทำให้เราได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของผลการดำเนินงานในแต่ละช่วงเวลาว่าบริษัทจัดการกองทุนมีความสามารถในการบริหารจัดการเงินลงทุนของเราได้ดีมากน้อยเพียงใด
-
- e.
พิจารณาขนาดกองทุน ข้อดีของกองทุนที่มีขนาดใหญ่
- คือ การกระจายหลักทรัพย์ที่ลงทุน อำนาจต่อรองกับบริษัทหลักทรัพย์ในการได้หุ้นจองดีๆ และช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายคงที่ต่อหน่วยลงทุนได้ สว่นข้อเสีย คือ อุ้ยอ้ายเหมือนคนอ้วนจะปรับเปลี่ยนหลักทรัพย์ได้ไม่คล่องตัวเท่ากองทุนที่มีขนาดเล็ก ส่วนกองทุนที่มีขนาดเล็ก ก็จะมีข้อดี ข้อเสียตรงข้ามกับกองทุนที่มีขนาดใหญ่ดังที่กล่าวมาแล้ว
-
- f.
พิจารณานโยบายการจ่ายเงินปันผล ดีสำหรับคนที่ต้องการกระแสเงินสดจากการลงทุน แต่มีข้อเสียคือ เงินปันผลของกองทุนรวมต้องเสียภาษี
4.ดังนั้น การเลือกลงทุนในกองทุนรวมแม้จะมีผู้จัดการกองทุนมาช่วยบริหารเงินลงทุนให้เราก็ตาม แต่ก็เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องเลือกกองทุนที่ถูกต้องและเหมาะสมกับเรา ส่วนจะหาข้อมูลกองทุนรวมได้ที่ไหน สมัยนี้มีหลายเว็บ หลายเพจที่ให้ข้อมูลกองทุน แถมวิเคราะห์ให้อีกด้วย สนใจกองทุนไหน ค่อยไปดูข้อมูลลึกๆของบริษัทจัดการนั้นโดยตรง เสียเวลาศึกษาสักนิด ดีกว่าเสียเงิน
อ่านบทความอื่นๆ
ความจริงความคิด : บันได 10 ขั้นสู่ความสุขในวัยเกษียณ (ตอนที่ 1)
ความจริงความคิด : วัยเกษียณ ความเสี่ยงที่หนีพ้นถ้าตายก่อน
ความจริงความคิด : แก่อย่างมีความสุขต้อง 4 แก่ (ตอนที่ 1)
ความจริงความคิด : ยิ่งเกิด covid ยิ่งกังวลเรื่องเงิน
ความจริงความคิด : การบริหารความเสี่ยงในการลงทุน