HoonSmart.com>> “ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์” ประเมินช่วงที่เหลือของปีนี้ กนง.คงดอกเบี้ย 1.25% ชี้ลดดอกเบี้ยอย่างเดียวกระตุ้นเศรษฐกิจได้จำกดั เพิ่มควมเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงิน เชื่อกนง.ตุนกระสุนรองรับความเสี่ยงในอนาคต
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) หรือ อีไอซี เปิดเผยว่า ประเมินว่า ในช่วงที่เหลือของปี กนง. น่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ 1.25% เนื่องจากมองว่าผลของการลดดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมเพียงอย่างเดียวน่าจะมีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจได้จำกัด และอาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงิน นอกจากนั้น กนง. น่าจะต้องการรักษาความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน (policy space) ที่มีจำกัด เพื่อรองรับความเสี่ยงในอนาคต
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 6 พ.ย.2562 กนง.มีมติให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 1.5% เป็น 1.25% หลังเศรษฐกิจขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้และค่าเฉลี่ยอัตราเงินเฟ้อทั้งในปี 62 และปี 63 มีแนวโน้มต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย
SCB EIC ยังมองว่าการผ่อนคลายกฎเกณฑ์กำกับดูแลการแลกเปลี่ยนเงินล่าสุดนั้น อีไอซีประเมินว่าในระยะสั้นผลต่อเงินทุนไหลออกน่าจะยังมีจำกัด เนื่องจากผู้ส่งออกและนักลงทุนไทยอาจต้องใช้เวลาในการปรับตัว ทำให้แรงกดดันด้านแข็งค่าของเงินบาทยังมีต่อไป
สำหรับผลจากการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพียงอย่างเดียวเพื่อสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยอาจมีจำกัด โดย SCB EIC มองว่า ช่องทางการส่งผ่านของอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีอุปสรรคมากยิ่งขึ้นและถึงแม้การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลดลงได้ แต่อาจไม่สามารถเพิ่มปริมาณการให้สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ได้มากนัก เนื่องจากความต้องการสินเชื่อมีแนวโน้มชะลอลงตามภาวะเศรษฐกิจไทย อีกทั้งมาตรฐานการให้สินเชื่อก็มีแนวโน้มเข้มข้นขึ้นตามความเสี่ยงที่สูงขึ้น ซึ่งสะท้อนจากอัตราการขยายตัวของสินเชื่อที่ชะลอลงค่อนข้างมากในปีนี้ และสัดส่วนหนี้เสียที่ยังคงเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่ม SMEs
นอกจากนี้ การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในรอบนี้อาจช่วยให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้ในระยะสั้นเท่านั้น แต่ผลกระทบในระยะยาวน่าจะมีจำกัด เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานที่ทำให้เงินบาทแข็งค่ายังคงมีอยู่
ส่วนมาตรการผ่อนคลายกฎเกณฑ์กำกับดูแลการแลกเปลี่ยนเงินนั้น SCB EIC ประเมินว่า ในระยะสั้นผลต่อเงินทุนไหลออกจะยังมีจำกัด เนื่องจากนักลงทุนไทยส่วนใหญ่ยังมีพฤติกรรม home-bias คือเน้นลงทุนในประเทศ สะท้อนจากสัดส่วนสินทรัพย์ต่างประเทศต่อ GDP ที่ยังต่ำ อีกทั้งแนวโน้มเงินบาทที่จะยังคงแข็งค่าต่อเนื่อง อาจทำให้นักลงทุนไม่มีแรงจูงใจในการถือครองสกุลเงินต่างประเทศ ดังนั้นแม้ ธปท.จะเปิดโอกาสให้ลงทุนต่างประเทศง่ายขึ้น แต่ก็อาจต้องใช้เวลาเพื่อให้มาตรการส่งผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะเดียวกันการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจไม่สามารถผลักดันให้ราคาสินทรัพย์เพิ่มสูงขึ้นได้มากนัก เนื่องจากทั้งเศรษฐกิจไทยและโลกยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่สูงขึ้น อีกทั้งการเติบโตของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนก็ปรับลดลง จึงทำให้ดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์อาจไม่สามารถปรับสูงขึ้นได้นัก ซึ่งจะทำให้การใช้จ่ายของภาคครัวเรือนที่มีสินทรัพย์เหล่านี้ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากเท่าที่ควร (wealth effect) และในภาวะความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจที่ยังมีอยู่สูง ประสิทธิภาพของการเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่ภาคเอกชนทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการผ่านการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจมีจำกัดส่งผลต่อแนวโน้มการลงทุนและการบริโภคของภาคเอกชน
นอกจากนี้ Policy space มีข้อจำกัดในการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของวัฏจักรก่อนๆ กนง.สามารถลดได้ในอัตราที่ค่อนข้างมาก โดยค่าเฉลี่ยของการลดดอกเบี้ยในแต่ละวัฎจักรที่ผ่านมาอยู่ที่ 1.875% ต่อวัฎจักร อย่างไรก็ดี ระดับอัตราดอกเบี้ยในวัฏจักรรอบนี้อยู่ในระดับต่ำกว่าในอดีตค่อนข้างมาก ทำให้ กนง.จะไม่สามารถลดอัตราดอกเบี้ยได้มากเท่าในอดีต โดยถึงแม้ กนง. จะลดดอกเบี้ยลงถึง 0% ซึ่งมีโอกาสต่ำมาก ก็ยังคงมีขนาดที่น้อยกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจจริงจึงมีจำกัดมากขึ้น