นักวิเคราะห์คาด SCG พลิกกำไรขาขึ้น 3 ปัจจัยหนุน การเงินแกร่ง ปันผลต่อเนื่อง

HoonSmart.com>>นักวิเคราะห์ประสานเสียงไตรมาส 1/2568 บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG จะพลิกมีกำไร และมีลุ้นเร่งตัวขึ้น มองบวกจากสงครามการค้าที่ประธานาธิบดี “ทรัมป์” เพิ่มอัตราภาษีนำเข้าจีนสูงถึง 145% ส่งผลอุปทานปิโตรเคมีจากจีนมีแนวโน้มลดลง ประกอบกับราคาน้ำมันร่วงแรง เงินบาทอ่อนค่า ทำให้อัตรากำไร SCG ดีขึ้น พร้อมการรักษากระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (EBITDA) และจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้น สร้างความเชื่อมั่นได้ดี

บทวิเคราะห์ล่าสุดจากนักวิเคราะห์ที่ออกมาเมื่อ 11 เม.ย. 2568 ต่างมีมุมมองเรื่องการฟื้นตัวของ SCG ที่น่าสนใจ ฟันธงไตรมาส 1/2568 พลิกมีกำไรสุทธิ จากไตรมาส 4/2567 ขาดทุนสุทธิ 512 ล้านบาท อาทิ บล.เอเซียพลัสคาดกำไรไว้ที่ 931 ล้านบาท บล.ทรีนีตี้คาดกำไร 812 ล้านบาท บล.กรุงศรีคาดกำไร 617 ล้านบาท และ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) คาดกำไร 602 ล้านบาท ส่วนไตรมาส 2/2568 มีโอกาสเร่งตัวขึ้น และทั้งปี 2568 ยังมีลุ้นกำไรสุทธิสูงกว่า 10,000 ล้านบาท

3 โบรกเกอร์แจงที่มาของกำไร

บล.เอเซียพลัส ให้เหตุผลกำไรสุทธิไตรมาส 1/2568 ที่ 931 ล้านบาท จากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และการก่อสร้าง และ SCG Packaging (SCGP) ที่กลับมากำไรได้อีกครั้ง เหลือเพียงธุรกิจปิโตรเคมีที่ยังขาดทุนจากค่าใช้จ่ายคงที่ของโรงงาน Long Son Petrochemicals (LSP) ในเวียดนาม และ Spread ที่อยู่ระดับต่ำ แต่ก็มีปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันลดลงมาก ดีต่อต้นทุน Naphtha Cracker ในช่วงระหว่างรอการ Upgrade โรงงาน LSP ในเวียดนามให้สามารถใช้ก๊าซอีเทนเป็นวัตถุดิบ

ด้าน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มองกำไรไตรมาส 1/2568 SCG ฟื้นตัว คาดการณ์ 602 ล้านบาท คิดเป็น 8% ของประมาณการทั้งปีที่ 7,400 ล้านบาท ส่วนแนวโน้มกำไรไตรมาส 2/2568 เร่งตัวขึ้น จาก 4 ปัจจัย ได้แก่ 1. ต้นทุนน้ำมันที่ลดลงช่วยให้ Spread ปิโตรเคมีฟื้นตัว 2. การปรับขึ้นราคาขายปูนซีเมนต์ 400 บาท/ตัน (ตั้งแต่ต้นเดือน มี.ค. 2568) 3. รายได้เงินปันผลรับเพิ่มขึ้น และ 4. ปริมาณขายปิโตรเคมีเพิ่มขึ้นตามฤดูกาล

สำหรับผลกระทบต่อนโยบายภาษีทรัมป์ในระยะสั้นยังค่อนข้างจำกัด เพราะ SCG มีรายได้ส่งออกไปสหรัฐฯ เล็กน้อยราว 1% รวมถึงแรงกดดันต่อ Spread ปิโตรเคมีเหลือไม่มาก เพราะไตรมาสแรก Spread HDPE และ PP อยู่ใกล้เคียงสถิติต่ำสุด เริ่มไม่คุ้มกับการผลิต ขณะเดียวกันความขัดแย้งสหรัฐฯ vs จีนอาจส่งผลต่ออุปทานวัตถุดิบก๊าซของโรงงานปิโตรเคมีในจีน

อย่างไรก็ตาม ยังคงมุมมองระมัดระวังในระยะกลางถึงยาว เนื่องจากสถานการณ์ยังผันผวน และหากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวรุนแรง อาจกดดันให้ Spread ปิโตรเคมีอยู่ในวัฏจักรขาต่ำนานกว่าที่คาด

บล.ทรีนีตี้ประเมิน SCG จะมีกำไรไตรมาสแรกปี 2568 นี้ที่ 812 ล้านบาท ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และการก่อสร้าง และบริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) มี EBITDA อยู่ที่ 3,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากไตรมาสก่อน แต่ลดลงถึง 41% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากสินค้าวัสดุก่อสร้างโดยรวมในประเทศที่ยังหดตัว โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่อาศัยได้รับผลกระทบจากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง

ส่วนกระแสซื้อหุ้นคืนของบริษัทจดทะเบียนนั้น SCG ยังไม่มีแผน เนื่องจากยังคงเน้นการดูแลผู้ถือหุ้นผ่านการจ่ายเงินปันผลที่สม่ำเสมอ พร้อมรักษากระแสเงินสดให้อยู่ในสถานะที่แข็งแกร่ง ตัดขายธุรกิจที่ไม่จําเป็นออกไป และการลดภาระหนี้

หุ้นถูก พร้อมเด้งกลับแรง

ทางด้านราคาหุ้น SCC สะท้อนถึงจุดต่ำสุด เพราะตลาดหุ้นทั่วโลกยับเยิน SCC ลงไปต่ำสุดที่ 130 บาท เมื่อวันที่ 8 เม.ย. 2568 แต่เพียง 2 วัน (9-10 เม.ย. 2568) ก็ตีกลับมาแรงและเร็วมาก ปิดที่ 147.50 บาท นักวิเคราะห์มีมติเอกฉันท์ ราคาถูกมาก ซื้อขายเพียงครึ่งหนึ่งของมูลค่าหุ้นทางบัญชี (PBV) เหมาะสำหรับซื้อเก็บถือระยะยาว ปลอดภัย รับอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงกว่า 3% ต่อปี ดีกว่าการฝากเงินกินดอกเบี้ย

บล.เอเซียพลัส ยังมองการปรับตัวหลายเรื่องของ SCG เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน แม้ต้องใช้เวลากว่าจะเห็นผล แต่จะทำให้มีความแข็งแรงขึ้นในระยะยาว ให้น้ำหนักลงทุน Neutral หุ้น SCC ประเมินราคาหุ้นที่เหมาะสม 210 บาท

บล.หยวนต้าฯ เสนอกลยุทธ์เน้นเก็งกำไรรอบสั้นเท่านั้น โดยให้มูลค่าเหมาะสม 180 บาท เพราะสถานการณ์ตอบโต้นโยบายภาษียังเปลี่ยนแปลงได้ตลอด และหุ้นเป็น Commodities Play ได้รับผลกระทบหากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวรุนแรง ปัจจุบันซื้อขายบน PBV 0.5 เท่า และมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผล 3.4%ต่อปี

บล.ทรีนีตี้ คงราคาเป้าหมาย 194 บาท อิง PBV ที่ 0.65 เท่า ซึ่งเป็นระดับสมัยเกิดวิกฤติ Subprime ปี 2551 และยังคงคำแนะนำซื้อเก็งกำไร แต่ต้องถือระยะยาว ระยะกลางกำไรอาจจะยังไม่ฟื้น แต่ถ้าผ่านพ้นรอบของวัฏจักรปิโตรเคมีขาต่ำไปแล้ว จะกลับมาฟื้นตัวโดดเด่นได้อีกครั้ง

บล.กรุงศรี คงคำแนะนำ Neutral ให้มูลค่าเหมาะสม 175 บาท มองความเป็นไปได้มากขึ้นในการเปิดดำเนินงานโรงงาน LSP ช่วงครึ่งหลังของปี 2568 หลังราคาน้ำมันดิบลดลงเร็วหนุนการฟื้นของ spread HDPE และ PP และการขึ้นภาษีการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนมีโอกาสที่จะทำให้อุปทานปิโตรเคมีจีนลดลงเร็วจากต้นทุนโพรเพนนำเข้าจากสหรัฐฯ ที่สูงขึ้น หนุนการฟื้นตัวของ PP spread หาก HDPE/PP spread ยืนเหนือ 400 เหรียญ/ตัน ได้ต่อเนื่องจะเป็นจุดน่าสนใจกลับมาลงทุน

SCG มั่นคง เสริมจุดแข็ง

นักลงทุนควรจะทยอยเก็บหุ้น SCC ไม่ต้องรอให้ธุรกิจปิโตรเคมีกลับเป็นขาขึ้น เพราะมีโรงงานในประเทศไทยที่มีศักยภาพการแข่งขัน มีแนวโน้มที่ดีจากการขายสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added Products and Services) และต้นทุนต่ำลงจากราคาน้ำมันถูก ระหว่างรอโรงงาน LSP เพิ่มวัตถุดิบก๊าซอีเทนซึ่งจะแล้วเสร็จในปี 2570 ส่วนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และการก่อสร้าง ดีขึ้น นอกจากการปรับขึ้นราคาขายปูนซีเมนต์แล้ว ไตรมาสที่ 1 ยังเป็นฤดูขายของปูนซีเมนต์ การซ่อมแซม สร้างบ้าน และโครงสร้างพื้นฐานจากงานภาครัฐก็มีการขยายตัวดีขึ้น

“SCG ไม่ทิ้งหัวใจสำคัญของการบริหารธุรกิจ เน้นรักษากระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (EBITDA) ด้วยการลดเงินทุนหมุนเวียน ควบคุมเงินลงทุน เน้นเฉพาะโครงการที่มีผลตอบแทนสูงและเร็ว ตัดขายธุรกิจที่แข่งขันไม่ได้ เพื่อลดหนี้สินสุทธิ คาดจะเห็นตัวเลขที่ดีขึ้นในไตรมาส 1/2568 พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์การผลิตสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม เพิ่มสัดส่วนสินค้ารักษ์โลก นอกจากจะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ด้าน ESG แล้ว ยังมีส่วนสำคัญที่ช่วยเพิ่มเสถียรภาพของอัตรากำไรในระยะยาวให้อีกด้วย”