PwC เตือน 11 บจ. รีบแก้เงื่อนไขหุ้นกู้คล้ายทุนกว่า 1 แสนลบ. ระวังต้นทุนพุ่ง

HoonSmart.com>>ไพรซ์วอเทอร์เฮาส์หวั่น 8 บริษัทขนาดใหญ่ ออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิคล้ายทุนคงค้าง 7.7 หมื่นล้านบาท และIVL-TU-BCP-BGRIM  บริษัทที่ใกล้เสนอขายอีก  3.5 หมื่นล้าน  D/E พุ่ง หลังใช้มาตรฐานบัญชี TAS 32 ฉบับใหม่ปีหน้า แนะเร่งแก้เงื่อนไข  หากแก้ไม่ทัน รับมือต้นทุนการเงินสูงขึ้น 

นายชาญชัย ชัยประสิทธิ์ หัวหน้าสายงานตรวจสอบบัญชี และหุ้นส่วนบริษัท PwC ประเทศไทย กล่าวในงานสัมมนาประจำปี PwC Thailand’s Symposium 2019 ภายใต้หัวข้อ “บริหารความท้าทายขององค์กรในทศวรรษใหม่อย่างมืออาชีพ”ว่า การนำมาตรฐานการบัญชีและหลักการทางบัญชีใหม่มาใช้ในปี 2563 โดยเฉพาะมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 32 (TAS 32) จะส่งผลให้บริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) ขนาดใหญ่ 8 แห่งที่ออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิคล้ายทุน (Perpetual Bond) ซึ่งจะถูกจัดประเภทใหม่จากตราสารทุนเป็นหนี้สินในงบการเงินแทน อาจส่งผลให้อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E ratio) เพิ่มขึ้น จนทำให้เกิดความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง และในที่สุดทำให้ต้นทุนทางการเงินสูงตามไปด้วย

นายชาญชัย กล่าวว่า  ลักษณะที่สำคัญของ Perpetual Bond  มี 2 รูปแบบคือ 1.ไม่มีกำหนดการชำระคืนเงินต้นที่แน่นอน  คือ ผู้ถือไม่มีสิทธิไถ่ถอน สิทธิการไถ่ถอนอยู่ที่ผู้ออกหุ้นกู้ และ 2 มีกำหนดจ่ายดอกเบี้ยที่ชัดเจน แต่ผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิในการเลื่อนชำระดอกเบี้ยออกไปได้   ซึ่ง TAS 32 ฉบับใหม่ระบุว่า ถ้าการชำระเงินต้น หรือดอกเบี้ย ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ในอนาคตที่กิจการไม่สามารถควบคุมได้ เช่น ต้องไถ่ถอนหุ้นกู้ทันที เมื่อมีผลขาดทุนสะสมจนทำให้ส่วนของทุนเหลือน้อยกว่า 50% ของทุนจดทะเบียน กรณีนี้ จะต้องแสดง Perpetual Bond เป็นหนี้สิน เว้นแต่มีการชำระเงินต้นและดอกเบี้ย เพราะกิจการได้ชำระบัญชีเพื่อเลิกกิจการ ไม่ว่าโดยสมัครใจ หรือโดยผลของกฎหมายล้มละลาย  ถึงจะถูกจัดประเภทเป็นทุน

ปัจจุบันหุ้นกู้ด้อยสิทธิคล้ายทุนของ  8 บริษัท  ระบุเงื่อนไขอื่นเพิ่มเติม ซึ่งกิจการไม่อาจควบคุมได้ คือ บริษัทจะชำระคืนเงินต้นหรือดอกเบี้ยในกรณีที่ 1 บริษัทผู้ออกเลิกกิจการ 2 ล้มละลาย  3 เข้าสู่แผนฟื้นฟูกิจการ และ 4 ถูกพิทักษ์ทรัพย์ถาวร  หากบริษัทเกิดกรณีตามเงื่อนไขข้อที่ 3 และ 4 อาจทำให้ไม่สามารถเลื่อนการชำระคืนเงินต้นหรืออัตราดอกเบี้ยออกไปได้  ทำให้หุ้นกู้ดังกล่าวควรจะต้องถูกจัดประเภทเป็นหนี้สินแทน สำหรับแนวทางการรับมือกับ TAS 32 นั้น บริษัท สามารถทำได้ 2 แนวทาง คือ แก้ไขสัญญาหุ้นกู้ หรือไถ่ถอนแล้วออกหุ้นกู้รุ่นใหม่ทดแทน แต่ทั้ง 2 แนวทางมีสิ่งที่บริษัทต้องพึงพิจารณาทั้งภาระค่าใช้จ่ายที่สูงและระยะเวลาในการดำเนินการขั้นต่ำ 2-3 เดือน คาดว่า บริษัทไม่น่าจะสามารถดำเนินการเสร็จได้ทันภายใน 1 มกราคม 2563

“มาตรฐาน TAS 32 ใหม่อาจเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับบริษัทที่ยังมีหุ้นกู้เหล่านี้คงค้างอยู่  สภาวิชาชีพบัญชีอยู่ระหว่างพิจารณาแนวทางยกเว้น หรือผ่อนผันให้ระยะเวลาหนึ่งหรือไม่ บริษัทและนักลงทุนต้องติดตามว่า จะทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสูงขึ้นมากและอาจส่งผลให้เจ้าหนี้เงินให้กู้ยืมของบริษัท เช่น ธนาคารพาณิชย์ มีสิทธิเรียกร้องให้ชำระเงินกู้ซึ่งเดิมยังไม่ถึงกำหนดชำระได้ในทันที เนื่องจากผิดข้อกำหนดในสัญญาเงินกู้เรื่องการคงอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ และท้ายที่สุดก็อาจส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นของบริษัทในระยะสั้นได้ หากไม่ต้องการให้เกิดผลกระทบ ควรรีบแก้ไขสัญญาหุ้นกู้ หรือไถ่ถอน Perpetual Bond ดังกล่าวแล้วออกหุ้นกู้รุ่นใหม่ทดแทน แต่อาจจะต้องแบกรับค่าใช้จ่ายจากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ที่สูง “นายชาญชัยกล่าว

ปัจจุบัน มีบริษัทจดทะเบียนไทยขนาดใหญ่ 8 แห่งที่ออก Perpetual Bond มูลค่าคงค้างประมาณ 7.7 หมื่นล้านบาท  ณ วันที่ 30 ก.ย. 2562 ซึ่งบริษัทที่ออกหุ้นกู้ที่ไถ่ถอนเมื่อเลิกกิจการส่วนใหญ่จะต้องการใช้เงินลงทุนสูง แต่ไม่ต้องการเพิ่มทุน หรือกู้ยืมเงิน เพราะเกรงจะกระทบกับ D/E และส่งผลให้ความเสี่ยงด้านเครดิตสูงตามไปด้วย

นอกจากนี้ การนำมาตรฐานการบัญชีฉบับใหม่มาใช้ ยังอาจส่งผลต่อบริษัทที่มีแผนออก Perpetual Bond ต้องชะลอการออกไปก่อน เนื่องจากกลุ่มธนาคารพาณิชย์คงไม่ยินยอมให้ปรับเงื่อนไขสิทธิของผู้ซื้อบางข้อ และยังไม่รับประกันให้กับผู้ออกหุ้นกู้  ปัจจุบันมีบริษัทใหญ่มีแผนออก Perpetual Bond ในช่วงที่เหลือของปี 4 ราย ได้แก่ บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) , บริษัทบางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP), บริษัทไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU), บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM) มูลค่ารวมราว 3.2 หมื่นล้านบาท

ส่วน  8 บริษัทผู้ออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิคล้ายทุน  ได้แก่ บริษัทไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) มูลค่า 23,788  ล้านบาท  บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) 21,743  ล้านบาท บริษัท ซีพี ออลล์ (CPALL) 19,909  ล้านบาท  บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) 15,000  ล้านบาท , IVL 14,874 ล้านบาท บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ (ANAN) มูลค่า 6,000  ล้านบาท  บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค (PF) 508  ล้านบาท และ บริษัท ทีทีซีแอล (TTCL) 500  ล้านบาท สำหรับบริษัทที่รอขาย 4 บริษัท มูลค่า 3.5 หมื่นล้านบาท ได้แก่  IVL มูลค่า 15,000 ล้านบาท  BCP 10,000 ล้านบาท BGRIM มูลค่า 6,000 ล้านบาท ไม่รวมสำรอง 2,000 ล้านบาท และ TU มูลค่า 4,000 ล้านบาท ไม่รวมสำรองอีก 2,000 ล้านบาท

สำหรับ PwC คือบริษัท ไพรซ์วอเทอร์เฮาส์คูเปอส์  เป็น 1 ใน 4 บริษัทตรวจสอบบัญชี ที่ใหญ่ที่สุดในโลกควบคู่กับ ดีลอยต์ทูชโทมัตสุ เอินส์ท แอนด์ ยัง และ เคพีเอ็มจี

ทางด้าน บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส ( IVL) บริษัทเคมีภัณฑ์ที่มีรายได้เป็นอันดับที่ 35 ของโลก  เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน มูลค่า 15,000 ล้านบาท ระหว่างวันที่ 4 – 7 พฤศจิกายน 2562 จองซื้อขั้นต่ำ 1 แสนบาท กำหนดอัตราดอกเบี้ย 5% ต่อปี ในช่วง 5 ปีแรก บริษัททริส เรทติ้ง ให้อันดับเครดิตที่ A