HoonSmart.com>> บล.ดีบีเอส วิคเคอร์สฯ สำรวจ 16 หุ้น SP พบ PRO-BLISS-BUI มีกำไร ส่วนผู้ถือหุ้นตามเกณฑ์ คาดดึงดูดนักลงทุนเข้าเก็งกำไร หวังหุ้นกลับมาซื้อขายได้ราคาดี พร้อมเตือนนักลงทุนหวังเก็งกำไร 16 หุ้น ระวังความเสี่ยง เหตุนักลงทุนอาจถือหุ้นไว้นาน ไม่แน่นอนว่าหุ้นจะกลับมาเทรดเมื่อไร
บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ออกบทวิเคราะห์เกี่ยวกับหุ้นที่ถูกห้ามการซื้อขาย (SP) จำนวน 16 ตัวที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จะเปิดให้มีการซื้อขายชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 1-31 ก.ค.62 เพื่อเปิดโอกาสให้มีสภาพคล่องนั้น ฝ่ายวิจัย คาดว่า จะมีการเก็งกำไรเข้ามาในหุ้น 3 บริษัทสูงกว่าบริษัทอื่นๆ ได้แก่ PRO, BLISS และ BUI เนื่องจากทั้ง 3 บริษัท ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) มีกำไรและมีส่วนผู้ถือหุ้นมากกว่า 300 ล้านบาทตามเกณฑ์
สำหรับผลการดำเนินงานล่าสุดปี 2561 PRO มีกำไรสุทธิ 33 ล้านบาทและมีส่วนผู้ถือหุ้นปี 2562 จำนวน 340 ล้านบาท BLISS มีกำไรสุทธิ 73 ล้านบาท ส่วนผู้ถือหุ้นปี 2562 จำนวน 1,636 ล้านบาท BUI มีกำไรสุทธิ 4 ล้านบาทและส่วนผู้ถือหุ้น 702 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามยังต้องติดตามคุณสมบัติอื่นๆ ว่าจะผ่านการพิจารณาหรือไม่ในอนาคต มีการปรับโครงสร้างหนี้ให้เรียบร้อย มีผลการดำเนินงานที่มั่นคง มีสถานะเป็นบริษัทจดทะเบียนฯ และหากอยู่ภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการกับศาลล้มละลายกลาง ก็ต้องออกจากแผนให้สำเร็จก่อน
สำหรับ GSTEL ซึ่งบริษัทคาดว่าจะกลับมาซื้อขายปกติได้ราว พ.ย.62 หลังส่งบการเงินได้ทุกไตรมาส เตรียมแผนปรับโครงสร้างหนี้ใน 1 เดือน
ขณะที่ IFEC ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 และเป็นประธานกรรมการบริษัท นายทวิช เตชะนาวากุลให้ความมั่นใจว่าจะไม่ขายหุ้นออกมาในช่วงเปิดขายดังกล่าว
ส่วน EARTH ก.ล.ต.เตือนผู้ลงทุนศึกษาข้อมูลมูลค่ายุติธรรมเหมืองถ่านหิน 2 แห่งในอินโดฯ ก่อนซื้อ-ขายหุ้น EARTH ทั้งนี้ทางบริษัทได้เคยชี้แจงข้อมูลที่ว่าจ้างผู้ประเมินอินโดฯมามีมูลค่าที่ 25,100 และ 29,000 ล้านบาท แต่ผู้ทำแผน บริษัท อีวาย คอร์ปปอเรท แอดไวซอรี่ เซอร์วิสเซส จำกัด (EY) ได้จัดทำรายงานการถือหุ้นและสภาพเหมือง จึงตีค่ายุติธรรมออกมาน้อย ทางก.ล.ต.กำลังให้บริษัทและกรรมการบริษัทชี้แจงข้อมูล สามารถศึกษาข้อมูลรายละเอียดตามข่าว SET
ด้านหลักทรัพย์อื่นๆ ยังมีผลการดำเนินงานที่ขาดทุน และคาดว่าต้องใช้เวลาพอควรในการแก้ไขคุณสมบัติให้เข้าเกณฑ์ จึงจะกลับเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯได้
สำหรับรายชื่อหุ้นที่ตลาดจะมีการปลดเครื่องหมาย SP ชั่วคราว จำนวน 16 ตัว (ราคาปิด) ได้แก่ A5 หรือ ADAM เดิม (14.00 บาท), BLISS (0.03 บาท) , BUI (13.47 บาท), CHUO (3.30 บาท), EARTH (1.46 บาท), GSTEL (0.13 บาท), IFEC (3.10 บาท), KC (1.00 บาท), KTECH (0.43 บาท), NBC (0.54 บาท), NMG (0.20 บาท), POLAR (0.15 บาท), PRO (0.17 บาท), STHAI (0.90 บาท), TSF (0.02 บาท), WR (1.84 บาท) ซึ่งได้ถูกขึ้น SP ต่อเนื่องเป็นระยะเวลาเกิน 3 เดือน ซึ่งเข้าเกณฑ์ตามข้อกำหนดไว้ และตั้งแต่ 1 ส.ค.กลับมา SP อีกครั้ง จนกว่าจะมีคุณสมบัติกลับมาซื้อขายได้
นอกจากนี้มีหุ้นอีกกลุ่มที่ได้รับการปลดเครื่องหมาย SP ชั่วคราว ในวันที่ 1 ก.ค. – 9 ก.ค. ก่อนที่จะยกเลิกสถานะการเป็นบริษัทจดทะเบียนในวันที่ 10 ก.ค. ได้แก่ IEC (0.02 บาท), LVT (0.66 บาท) และ YNP (0.29 บาท)
ตลาดหลักทรัพย์ กำหนดให้ซื้อหลักทรัพย์ด้วยบัญชี Cash Balance โดยผู้ซื้อต้องชำระเงินทั้งจำนวนก่อนการซื้อหลักทรัพย์ ซึ่งจะไม่กำหนดราคาซื้อขายสูงสุดและต่ำสุดของหลักทรัพย์ดังกล่าวในวันแรกที่มีการซื้อขาย (คือ วันที่ 1 กรกฎาคม 2562) เพื่อให้ราคาหลักทรัพย์เป็นไปตามสภาพความเป็นจริง เนื่องจากไม่มีการซื้อขายหลักทรัพย์ดังกล่าวมานานแล้ว และจะไม่นำหลักทรัพย์มารวมในการคำนวณดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET Index) หรือ ดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (MAI Index) รวมทั้งจะขึ้นเครื่องหมาย NC กำกับตลอดระยะเวลาที่ให้มีการซื้อขายหลักทรัพย์ เพื่อเตือน ผู้ลงทุนให้ใช้ความระมัดระวังในการซื้อขายหลักทรัพย์
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส มองว่า การเปิดซื้อขายชั่วคราวเปิดโอกาสให้ผู้มีหุ้นเดิมขายออกมาเสริมสภาพคล่องได้ ในระยะเวลา 1 เดือน แต่ผู้มีหุ้นเดิมบางรายจะไม่ขายออกมา แต่รอให้มีแก้ไขคุณสมบัติ เมื่อกลับมาซื้อขายจะมีราคาหุ้นที่ดีขึ้น ขณะเดียวกันมีนักลงทุนรายใหม่สนใจเก็งกำไร เพราะเชื่อว่ามีราคาถูกอยู่ สะท้อนสถานะที่ยังไม่ดี แต่เมื่อพร้อมกลับมาซื้อขายใหม่ ราคาหุ้นจะปรับขึ้นแรง เนื่องจากได้แก้ไขจนมีสถานะธุรกิจและการเงินที่ดีขึ้นแล้ว ซึ่งความเสี่ยงของผู้มาซื้อหุ้นคือ จะใช้เวลานานแค่ไหน กว่าที่จะกลับมาซื้อขายใหม่ในตลาดฯได้อีกครั้ง
อ่านประกอบ
รายย่อยออกโรง ร้องศาลปกครอง ขอคุ้มครองชั่วคราว ยกเว้นเทรด 1 ก.ค.นี้