โบรกฯ คาดหุ้นไทยได้แรงซื้อ LTF – วินโดว์เดรสซิ่งหนุน

โบรกฯ คาดหุ้นวันนี้ผันผวนจากปัจจัยต่างประเทศ หวังแรงหนุนจากกองทุน LTF และ Window Dressing โค้งสุดท้ายของปี

บล.กรุงศรี มองแนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้ คาด SET Index ผันผวนในกรอบ 1,585 – 1,605 จุด ภาพรวมยังถูกกดดันจากความวิตกกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวหลังจากปัจจัยชี้นำเศรษฐกิจ และ GDP ของประเทศเศรษฐกิจหลักปรับตัวลงล่าสุด สหรัฐประกาศ GDP ไตรมาส 3/18 (ครั้งสุดท้าย) ขยายตัว 3.4% ลดลงจากประกาศครั้งที่ 2 และ ไตรมาส 2/18 ที่ขยายตัว 3.5% และ 4.2% นอกจากนี้ยังมีปัจจัยกดดันจากภาวะ US shutdown, VIX index ปรับตัวขึ้น และราคาน้ำมันดิบยังลดลงไม่หยุด กดดันหุ้นในกลุ่มพลังงานต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตามคาดว่าดัชนีจะไม่ลดลงรุนแรง เนื่องจากสัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์สุดท้ายของปี โดยปกติจะมีเม็ดเงินจากกองทุน LTF/RMF รวมถึงการทำราคาปิด (Window dressing) ของบรรดากองทุนมาช่วยหนุน

สำหรับหุ้นแนะนำวันนี้ ได้แก่ KTC ราคาเป้าหมาย 42บาท รับข่าวดีบอร์ดเตรียมอนุมัติให้ KTC รุกธุรกิจสินเชื่อพิโก และ นาโนไฟแนนซ์ เพิ่มช่องทางรายได้และค่าธรรมเนียมให้กับ KTC ส่วนแนวโน้มกำไรคาดเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากการตั้งสำรองที่ลดลงในอนาคตจากผลของมาตรฐานบัญชีใหม่ IFRS9, TASCO แนะซื้อเก็งกำไร ราคาเป้าหมายสูงสุด Consensus 18 บาท ซึ่งอีกหนึ่งผู้ประกอบการที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบที่ลดลง เนื่องจากจะทำให้ต้นทุนในการผลิตยางมะตอยลดลงตามไปด้วย ส่งผลบวกต่อมาร์จินและกำไรของ TASCO ให้กลับมาฟื้นตัว

บล.โนมูระ พัฒนสิน คาดแนวโน้มดัชนีวันนี้ “ย่อแล้วดีด” แนวต้าน 1,601/1,609 จุดและแนวรับ ,586/1,580 จุด หน่วยงานบางส่วนของสหรัฐฯถูกปิดดำเนินงาน หลังวุฒิสภาไม่อนุมัติร่างงบประมาณภายในเส้นตาย กดดันสินทรัพย์เสี่ยงโลก แต่อย่างไรก็ดี สัญญาณดอกเบี้ยสหรัฐฯ Dovish ต่อเนื่อง หลังประธานFED สาขานิวยอร์ก เผย FED อาจทบทวนนโยบายปรับขึ้นดอกเบี้ยในปี 2019 ช่วยคานแรงกดดันได้

ส่วนในประเทศ แรงหนุนจาก LTF และ Window Dressing โค้งสุดท้ายของปี ผสาน Valuation ที่น่าสนใจ คาดทำให้ SET ฟื้นตัวได้ วันนี้แนะ Theme “Selective Play” ได้แก่ BA, THAI, TOA

บล.คันทรี่ กรุ๊ป คาดว่าสัปดาห์สุดท้ายของการลงทุนในปี 2018 กรอบเคลื่อนไหวดัชนีบริเวณ 1580-1630 มองว่าต้นสัปดาห์ดัชนีอาจเผชิญแรงกดดันจากตลาดหุ้นสหรัฐที่ดิ่งต่อกว่า 414 จุด ในคืนวันศุกร์หลังมีรายงานว่าหน่วยงานสหรัฐบางส่วนถูกปิดทำการ อย่างไรก็ดีเรามองว่าหน่วยงานสหรัฐที่ถูกปิดทำการในอดีตที่ผ่านมาเคยเกิดขึ้นแล้วหลายครั้ง และสุดท้ายหน่วยงานสหรัฐก็กลับมาทำการได้ทุกครั้ง จึงเชื่อว่าจะกระทบต่อบรรยากาศ การลงุทนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

“สิ่งที่เราให้น้ำหนักว่ามีผลต่อการลงทุนตลาดหุ้นคือแนวโน้มเศรษฐกิจและผลประกอบการ ซึ่งปรากฎว่าภาคการส่งออกที่เป็นหัวใจหลัก (65% GDP) กลับมาหดตัวอีกครั้งราว 1% และที่สำคัญหดตัวจากคู่ค้าหลักอัน ดับสอง อย่างจีน (-9%YoY) โดยเฉพาะสินค้าส่งออกที่ไทยอยู่ในห่วงโซ่อุปทานการ ผลิตของจีน ซึ่งจะเห็นว่าสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนเริ่มส่งผลทางอ้อมมายัง เศรษฐกิจไทย ดังนั้นจากนี้จนถึงกำหนดเส้นตายเจรจาการค้าในวันที่ 1 มี.ค. 19 หากสหรัฐกับจีนยังไม่สามารถพูดคุยตกลงเจรจากันได้ มองว่าจะยิ่งเป็นลบต่อทิศทางการลงทุนในระยะกลาง – ยาว”บล.คนทรี่ กรุ๊ป ระบุ

อย่างไรก็ดีเนื่องจากสัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์สุดท้าย ของไตรมาส 4 และ SET INDEX ก็ปรับตัวลงมากว่า 4.6% ในช่วง 20 วันทำการที่ ผ่านมา เราจึงคาดหวังว่าจะเห็นการทำ Window dressing ซึ่งหากอิงสถิติย้อนหลัง 5 ปีพบว่าผลตอบแทนของ SET INDEX สัปดาห์สุดท้ายให้ผลตอบแทนเป็นบวกถึง 3 ปี ดังนั้นในเชิงกลยุทธ์การลงทุนระยะสั้นเน้นพิจารณาหุ้นที่ปรับตัวลงมาแรงซึ่งมีโอกา สเป็นเป้าหมายการซื้อคืน (ADVANC PTT PTTEP KBANK) ส่วนระยะกลาง – ยาว เน้นเลือกหุ้นที่เราคาดผลประกอบการในปีหน้าจะเติบโตได้ต่อเนื่อง (PLANB SMPC) โดยยังคงพิจารณาถือครองเงินสดไม่ต่ำกว่า 50%