HoonSmart.com>>สภาธุรกิจตลาดทุนไทย ชี้ SET มีอัพไซด์ทะลุ 1,313 จุด ดัชนีเชื่อมั่นนักลงทุนพุ่ง “ร้อนแรง” จากมาตรการรัฐ–สภาพคล่องโลก–FDI ต่างชาติทะลักโต 94% ร้องรัฐเพิ่มงบ-คน ให้บีโอไอ เตือน IPO ต่ำจองบั่นทอนตลาด แนะตลท.เร่งดึงบจ.นิวอีโคโนมีเสริมแรงดึงดูดเงินใหม่ เสริมความแข็งแรงให้ตลาดทุนไทยในระยะยาว

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยผลสำรวจ ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index: ICI) เดือนตุลาคม 2568 ซึ่งสำรวจระหว่างวันที่ 20–31 ตุลาคม พบว่า ความเชื่อมั่นนักลงทุนทุกกลุ่ม ทั้งรายย่อย สถาบันทั้งในและต่างประเทศ กลุ่มบัญชีหลักทรัพย์ ในอีก 3 เดือนข้างหน้า (มกราคม 2569) อยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” ที่ระดับ 135.73 โดยมีปัจจัยหนุนสำคัญจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ
รองลงมาคือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED)
ขณะที่ปัจจัยฉุดความเชื่อมั่นมากที่สุดคือเศรษฐกิจยูโรโซนที่ยังซบเซา ตามด้วยสถานการณ์การเมืองในประเทศและความผันผวนของค่าเงินบาท

นักลงทุนสนใจลงทุนในหมวดพาณิชย์ (COMM) มากที่สุด รองลงมาคือหมวดธนาคาร (BANK) และหมวดเงินทุนและหลักทรัพย์ (FIN)

ในขณะที่นักลงทุนเห็นว่าหมวดแฟชั่น (FASHION) ไม่น่าสนใจมากที่สุด รองลงมาคือ หมวดสื่อสิ่งพิมพ์ (MEDIA) และหมวดเหล็ก (STEEL)
SET มีอัพไซด์แรง

ในช่วงที่เหลือของปี2568 ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับขึ้นทะลุ 1,313 จุด หลังจากแตะระดับ 1,302.82 จุดแล้ว โดย IAA คาดการณ์ว่าในปี 2569 ดัชนี SET ที่ 1,415 จุด และมีความเป็นไปได้สูงที่จะอัพไซด์กว่าคาด โดยมีปัจจัยบวกสำคัญคือการคลี่คลายปัญหา Government Shutdown ของสหรัฐฯ ซึ่งจะช่วยหนุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ และส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนทั่วโลก อีกทั้ง FED มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.75% สู่ระดับ 3% ในปีหน้า ท่ามกลางสภาพคล่องสูงและยังไม่เกิดฟองสบู่ในตลาดหุ้น ทำให้เงินทุนมีโอกาสไหลเข้าสู่สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า เช่น ทองคำและบิตคอยน์ ที่ราคาจะยังไปต่อได้
นอกจากนี้ การเลือกตั้งในประเทศและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจะเป็นแรงหนุนต่อความเชื่อมั่น ขณะที่การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มีแนวโน้มพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยยอดขอส่งเสริมการลงทุนในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้สูงถึง 1.4 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 94% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และคาดว่าสิ้นปีจะขยับไปถึง 1.7–1.8 ล้านล้านบาท
เงินลงทุนเหล่านี้จะอยู่ในประเทศระยะยาว 20–30 ปี โดยล่าสุดมีบริษัทต่างชาติที่มีสำนักงานใหญ่ในสิงคโปร์ย้ายฐานเข้ามาในไทยแล้วกว่า 500 บริษัท
หากความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯกับจีนยังไม่สงบ จะเกิดการย้ายฐานธุรกิจมาที่อาเซียนรวมถึงไทย
ทั้งนี้ เสนอให้รัฐบาลเพิ่มงบประมาณให้ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) เพิ่มเป็น 2 เท่า และเพิ่มกำลังคนให้ด้วย เพื่อรองรับการลงทุนทางตรง
รัฐบาล ต้องจูงใจและเร่งรัดให้ผู้ที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนทำการลงทุนในปี 2569 ให้ได้มากที่สุด เพื่อช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปีหน้า จะทำให้ภาพเศรษฐกิจไทยในอีก 3-5 ปีข้างหน้าเปลี่ยนภาพไปสู่การมีเศรษฐกิจใหม่เข้ามาร่วมผลักดันการเติบโตของจีดีพี ดึงดูดเงินลงทุนมากขึ้น
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
ในต่างประเทศ นักลงทุนจับตาการเจรจาการค้ารอบใหม่ระหว่างสหรัฐฯ–จีน การแก้ปัญหา Government Shutdown ของสหรัฐฯ และแนวโน้มฟื้นตัวของเศรษฐกิจยูโรโซน ขณะเดียวกันเงินเฟ้อที่ลดลงในหลายประเทศอาจนำไปสู่การผ่อนคลายนโยบายดอกเบี้ย ซึ่งจะเพิ่มสภาพคล่องและหนุนตลาดหุ้นเอเชียโดยรวม
ในประเทศ ปัจจัยสำคัญคือแนวโน้มการลดดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย การชะลอตัวของเศรษฐกิจในภาคส่งออก ภาระหนี้ครัวเรือนที่สูง และการฟื้นตัวที่ยังช้าของภาคการท่องเที่ยว
เตรียมหารือสมาชิก IPO ต่ำจอง
นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า ภาวะหุ้น IPO ยังคงเป็นประเด็นน่ากังวล เนื่องจากหุ้นหลายตัวที่เข้าซื้อขายต่ำกว่าราคาจองซื้อ สร้างความเสียหายต่อผู้ลงทุน สาเหตุหลักมาจากการตั้งราคาขายที่สูงเกินจริง ซึ่งต่างจากอดีตที่ราคาจอง IPO มักมีส่วนลดเพื่อสร้างผลตอบแทนเบื้องต้น 5–20% แต่ปัจจุบันกลับติดลบ 18–20%
FETCO ได้รับทราบเกี่ยวกับหุ้น IPO ที่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าคาด และเตรียมหารือกับที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) และบริษัทหลักทรัพย์เพื่อปรับแนวทางการตั้งราคาใหม่ พร้อมเสนอให้ดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีและธุรกิจแห่งอนาคตเข้ามาจดทะเบียนในตลาดทุนไทยมากขึ้น เพื่อเพิ่มความหลากหลายและศักยภาพการเติบโต
อย่างไรก็ดี แนวโน้มที่หลายบริษัทที่มีคุณภาพในไทยเลือกไปจดทะเบียนในต่างประเทศแทน เนื่องจากตลาดหุ้นไทยไม่ดึงดูดนักลงทุน ทำให้ตั้งราคาหุ้นได้ไม่ดี ยังคงเป็นความเสี่ยงสำคัญ
พร้อมกับเตือนตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้เร่งดึงธุรกิจนิวอีโคโนมีเข้ามาเพิ่ม โดยโครงการ BOI to IPO ต่องเร่งดำเนินการให้เกิดผลโดยเร็ว ซึ่งปัจจุบัน มีบริษัทต่างชาติโดยเฉพาะจากจีนเข้ามาลงทุนในประเทศไทยจำนวนมาก รวมถึงญี่ปุ่น ในอุตสาหกรรมแนวใหม่ หลังจากเกิดการส่งออกจะทำให้รายได้เข้าสู่ประเทศ รัฐบาลสามารถจัดเก็บภาษีได้มากขึ้น สร้างงานเพิ่ม และใช้เงินทุนจากสถาบันการเงินในประเทศมากขึ้น จะส่งเสริมการเติบโตต่อไปในระยะยาว และส่งผลให้ตลาดทุนไทยดึงดูดนักลงทุนเข้ามามากขึ้น
“ขณะนี้ นักลงทุนไปลงทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งลงมุนตรงผ่านแอพพลิเคชั่นชั่นต่างๆ และลงทุนทางอ้อมผ่าน DR แม้จะจดทะเบียนในไทย แต่หุ้นที่ลงก็เป็นหุ้นต่างประเทศ ซึ่งทำให้เริ่มมีบริษัทจดทะเบียนเริ่มมองว่าการไปจดทะเบียนในต่างประเทศจะได้ราคาที่ดีกว่าหลังจากเปรียบเทียบหุ้นในลักษณะเดียวกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องระวัง”นายกอบศักดิ์ กล่าว
หุ้นใหญ่ขับเคลื่อนตลาดเกิดทั่วโลก
สำหรับกรณีหุ้นบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่เพียงไม่กี่บริษัททำการขับเคลื่อนตลาดนั้น เกิดขึ้นทั่วโลกไม่เฉพาะตลาดหุ้นไทยเท่านั้นยกตัวอย่างเช่นตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาก็มีหุ้น 7 นางฟ้าที่เป็นตัวขับเคลื่อนตลาดให้ดัชนีดาวโจนส์และ แนสแด็กส์ มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ รวมถึงตลาดหุ้นฮั่งเส็งก็มีหุ้นเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนตลาด หัดตัดหุ้นกลุ่มนี้ออกไป ดัชนีแทบไม่ขยับเหมือนกัน
ขณะที่หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กของไทยที่ราคาไม่ค่อยปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้นเป็นผลมาจากปัจจัยพื้นฐานของบริษัท
คาดหวังว่า มาตรการสร้างเสน่ห์ตลาดทุนไทยที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกำลังดำเนินการอยู่นั้นจะทำให้บริษัทจดทะเบียนไทยมีความน่าสนใจมากขึ้น
