โบรกฯ ชี้เกณฑ์ขายชอร์ตฆ่ารายย่อย จี้ตลาด-ก.ล.ต. เร่งแก้ไข

HoonSmart.com >>โบรกฯ ยันเกณฑ์การขายชอร์ตมีปัญหา ฆ่ารายย่อย แต่ไม่ได้รับการแก้ไข วอนท้้งก.ล.ต-ตลาดหลักทรัพย์  แก้ไขจริงจัง ก่อนตลาดเสียหายหนักกว่านี

ชญานี โปขันเงิน

จากการเสนอข่าวของ หุ้นสมาร์ท  “โบรกเกอร์ 17 ราย ไม่ทน ! ยื่นเรื่อง ก.ล.ต. ปิดช่องโหว่ ขายชอร์ต -Naked Short” ซึ่งมีนักลงทุนจำนวนมาก ยังไม่เข้าใจถึงวิธีการยืมหุ้นแบบ “Locate” และรวมถึงกรณีนักลงทุนเปิดสัญญาบล้อค ( Block Trade) โดยโบรกเกอร์ที่รับทำสัญญา สามารถนำหุ้นที่เป็นสินค้าอ้างอิง ( Underlying ) ไปให้ยืมเพื่อขายชอร์ตได้

นางสาวชญานี โปขันเงิน ผู้บริหาร  บริษัทหลักทรัพย์ 1 ใน 17 แห่ง เปิดเผยว่า ร่วมลงชื่อในหนังสือเรียกร้องให้ ก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์ เพิ่มการตรวจสอบที่รอบคอบ รัดกุม ในการขายชอร์ตและการขายหลักทรัพย์ที่ไม่มีหลักทรัพย์ในครอบครอง (Naked Short) ตลอดจนเสนอแนะแนวทางเพื่อปิดช่องโหว่ของการขายชอร์ต เนื่องจากเห็นว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ได้แก้ไขเรื่องดังกล่าว

ก่อนปี 2562 การขายชอร์ตหรือการยืมหุ้นมาขายและส่งมอบ (Stock Borrowing and lending) เป็นธุรกรรมที่เพิ่มโอกาสในการลงทุนให้แก่นักลงทุน  สามารถลงทุนได้ทั้งขาขึ้นและขาลงโดยแท้จริง เป็นที่เข้าใจสอดคล้องกันทั้งตลาดหุ้นว่า ถ้าไม่มีหุ้นของตนเอง การจะขายหุ้นต้องมีการยืมหุ้นก่อนทำการส่งคำสั่งขาย ไม่ว่าคำสั่งขายจะถูกจับคู่หรือไม่ก็ตาม  โดยคำสั่งขายในกรณีนี้ จะต้องมีการใส่เครื่องหมาย “S” เพื่อให้ทราบว่า เป็นการขายชอร์ต และเมื่อหุ้นใดถูกยืมแล้ว ผู้ให้ยืมก็ต้องกันหุ้นที่ถูกยืมไว้ ไม่ให้เกิดการยืมซ้ำ เพื่อใช้ไปตั้งคำสั่งขายได้อีก ทั้งที่หุ้นมีอยู่จำนวนเท่าเดิม เพราะจะทำให้เกิดการส่งคำสั่งขายในหุ้นใด ๆเกินจำนวนหุ้นที่มีให้ยืมได้จริง

อย่างไรก็ตาม ในปี 2562 ตลาดหลักทรัพย์ฯได้มีการส่งหนังสือเวียนที่ กส(ว) 4/2562 ลงวันที่ 22 เมษายน 2562 ถึงบริษัทหลักทรัพย์สมาชิก (โบรกเกอร์)  และกำชับให้ปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด โดยเนื้อหาตามหนังสือเวียนดังกล่าว อ้างถึง หนังสือที่ กลต.นธ. 891/2562 เรื่องตอบข้อหารือเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การยืมหุ้นเพื่อขายชอร์ต ลงวันที่ 11 เมษายน 2562 ซึ่งเนื้อหาในหนังสือเป็นไปในลักษณะการถามตอบปรึกษาหารือระหว่างตลาดหลักทรัพย์กับ ก.ล.ต โดย ก.ล.ต ได้มีการขยายความกฏเกณฑ์ตามประกาศของคณะกรรมการกำกับตลาดทุนในเรื่องนี้ ไปในเรื่องวิธีปฏิบัติของ บล.ในการให้บริการการขายชอร์ตกับลูกค้า โดยกำหนดว่า ให้ลูกค้า

“มีการทำสัญญากับผู้ให้ยืมหลักทรัพย์ ( standing agreement) ที่มีลักษณะสัญญามาตราฐานที่สำนักงานยอมรับ ทั้งนี้บล.จะต้องมีการตรวจสอบชื่อและจำนวนหลักทรัพย์ที่ลูกค้าสามารถยืมได้ตามความประสงค์ของลูกค้า ( Located)”

“กรณีที่คำสั่งขายชอร์ตของลูกค้าได้รับการยืนยันจาก ตลาดหลักทรัพย์แล้ว โบรกเกอร์ หรือ บล. จะต้องดำเนินการแจ้งให้ลูกค้าทราบทันที โดยให้ลูกค้ายืนยันรายการยืมหลักทรัพย์ดังกล่าวกับผู้ให้ยืมหลักทรัพย์ที่ลูกค้าได้ทำการติดต่อไว้เพื่อให้ บล.สามารถส่งมอบหลักทรัพย์ดังกล่าวตามคำสั่งขายชอร์ตได้ภายในระยะเวลาที่สำนักหักบัญชีกำหนด”

และวิธีปฏิบัติตามหนังสือซักซ้อมความเข้าใจฉบับนี้ กลายเป็นช่องโหว่ของการขายชอร์ต และอาจสืบเนื่องไปถึงกรณีการทำ Naked Short เพราะเท่ากับว่า ทั้งตลาดหลักทรัพย์และ ก.ล.ต ยอมรับได้หากลูกค้ารายใดของ บล.มีสัญญายืมหุ้นกับแหล่งยืมใดก็ตาม และเมื่อตรวจสอบว่าแหล่งยืมหุ้นนั้น มีหุ้นใดจำนวนใดแล้ว ลูกค้าที่มีสัญญาในลักษณะ standing agreement ก็สามารถนำหุ้นนั้น ๆไปตั้งขายได้เลย โดยไม่ต้องทำการยืมให้เป็นกิจลักษณะก่อนส่งคำสั่ง แต่ค่อยมาทำการยืมจริงเมื่อรายการขายถูกจับคู่แล้ว (Locate)

บล.ทั้ง 17 แห่ง ตั้งข้อสังเกตว่า  กรณีที่แหล่งยืมหุ้นแหล่งหนึ่ง มีการทำสัญญายืมหุ้นแบบ  standing agreement กับลูกค้าหลายราย ซึ่งหมายความว่า หุ้นใด ๆ ที่แหล่งยืมมีให้ยืม อาจใช้ไปในการตั้งคำสั่งขายเกินกว่าจำนวนที่มีอยู่จริงได้ เช่น ถ้ามีการทำสัญญากับลูกค้า 10 ราย หุ้นจากแหล่งยืมนั้น ๆ ก็สามารถถูกนำไปตั้งขายได้มากกว่าจำนวนที่มีอยู่จริงถึง 10 เท่า ตามจำนวนลูกค้าที่มีการทำสัญญา standing agreement ไว้กับแหล่งที่ให้ยืม

ยังไม่นับรวมถึงหากมีการไปตั้งขาย และถ้าหุ้นนั้น ๆ ถูกจับคู่แล้ว ถ้ามีการซื้อกลับ ทำให้ไม่ต้องส่งมอบหุ้น เพราะถูกหักกลบกันไป ก็อาจทำให้ลูกค้าที่สั่งขายไม่ต้องทำการยืมหุ้นเช่นกัน กรณีนี้เข้าข่ายการทำ Naked Short หรือไม่

ดังนั้นวิธีปฏิบัติตามหนังสือซักซ้อมความเข้าใจข้างต้น จึงเป็นช่องโหว่ที่ทำให้จำนวนหุ้นที่สามารถนำมาขายชอร์ต มีมากเกินจริง (Over Locate ) จนอาจเป็นที่มาของกรณีที่หุ้นบางตัว มีปริมาณการขายมากเกินจนผิดปรกติ กดราคาหุ้นไว้จนทำให้ราคาหุ้นไม่สะท้อนปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริง ดังที่เกิดขึ้นกับหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดีหลายๆตัว และที่สำคัญการยืมหุ้นแบบมี standing agreement และ Locate นี้นักลงทุนรายย่อยไม่สามารถทำได้

นางสาวชญานี ยังกล่าวว่า สิ่งที่น่าวิตกอีกประการหนึ่งก็คือ บล.ที่มีการทำธุรกรรมสัญญา Single Stock Future แบบรายใหญ่ หรือที่เรียกกันว่า “Block Trade “  โดย บล.ที่มีธุรกรรมนี้ ถูกเรียกกันว่า “โต๊ะบล้อค”

เมื่อลูกค้ามีการเปิดสัญญา Single Stock Future ในหุ้นใด ๆ ในขา Long  (เหมือนการซื้อหุ้น) เพราะคาดหวังว่า หุ้นนั้นจะขึ้น และ” โต๊ะบล้อค” จะไปซื้อหุ้นนั้น ๆ ที่เป็นสินค้าอ้างอิงมาเก็บไว้ เพื่อป้องกันความเสี่ยงของสัญญา Future ที่ลูกค้าเปิดสัญญาไว้กับตนเอง

แต่กลับพบว่า ”โต๊ะบล้อค” ได้นำหุ้นที่เป็นสินค้าอ้างอิงนี้ ไปให้ลูกค้าอื่นยืมขายชอร์ต และเกิดปรากฏการณ์ที่หุ้นที่มีการทำ “ Block Trade” จำนวนมาก ๆ ถูกขายออกมา จนราคาลดลงเป็นอย่างมาก สร้างความเสียหายกับทั้งนักลงทุนทั้งที่ลงทุนในหุ้นนี้แบบปรกติ และที่ทำ Block Trade ตามที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่เสมอ

“ดิฉัน ได้เคยสอบถามทั้งกับตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) และ ก.ล.ต แล้วถึงกรณีนี้ เพราะเห็นว่า หุ้นที่เป็นสินค้าอ้างอิงในการทำ “Block Trade “  ไม่ควรถูกนำไปใช้ซ้ำโดยการนำไปให้นักลงทุนรายอื่นยืม และถูกนำมาขายชอร์ต  เพราะไม่เป็นธรรมกับนักลงทุนที่ลงทุนในธุรกรรมนี้ แต่สองหน่วยงานกลับยืนยันว่าทำได้ โดยให้เป็นเรื่องการบริหารความเสี่ยงของ “โต๊ะบล้อค” เอง  ทั้งที่สร้างความเสียหายกับการลงทุนของนักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นนั้น ๆ และรวมทั้งที่เปิดสัญญา “Block Trade “  อีกทั้งข้อมูลเหล่านี้ ไม่เคยถูกกำหนดเป็นเกณฑ์ให้ต้องเปิดเผยกับนักลงทุนให้ทราบทั่วกัน” น.ส.ชญานี กล่าว

นางสาวชญานี กล่าวอีกว่า นักลงทุนไทย เสียเปรียบต่างชาติ หลายประการ แต่ไม่พบว่าปัญหาเหล่านี้ถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาอย่างจริงจัง ท่ามกลางภาวะการลดน้อยถอยลงของนักลงทุนทั่วไป ตนเองรู้สึกว่า ทั้งตลาดหลักทรัพย์ และ ก.ล.ต. ให้ความสำคัญกับนักลงทุนแต่ละประเภทไม่เท่าเทียมกัน  อาจเกรงว่า การออกมาตราการใด ๆ จะกระทบกับปริมาณการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติ ทั้งที่ปัจจุบันปริมาณการซื้อขายโดยรวมของตลาดหลักทรัพย์ที่หดหายไป ก็เกิดจากการลดน้อยถอยลงของนักลงทุนทั่วไปเป็นหลัก

ที่สำคัญนักลงทุนไทย คือแรงขับเคลื่อนสำคัญของการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการทำธุรกิจของบริษัทจดทะเบียน ส่งผลถึงการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของชาติ แต่กลับไม่พบว่าประเด็นเหล่านี้ ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาอย่างจริงจังและถูกให้ความสำคัญจากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง จนทำให้สภาพคล่องในตลาดหลักทรัพย์เหือดหายไปอย่างน่าตกใจ

ปี 2567 ซึ่งเป็นปีแรกในรอบหลาย ๆ ปี ที่ไม่ปรากฏข้อความว่า “ ตลาดหลักทรัพย์ไทย เป็นตลาดที่มีสภาพคล่องสูงสุดในอาเซียนตั้งแต่ปี 2555 “ ในรายงานประจำปีของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และอาจเป็นข้อความที่ไม่สามารถปรากฏได้ในรายงานประจำปีของหน่วยงานนี้ ในปีต่อ ๆไป ถ้าทั้งตลาดหลักทรัพย์และ ก.ล.ต.ยังไม่มีการพิจารณาแก้ปัญหาที่ทั้ง 17 บล.เสนอแนะอย่างจริงจัง