BAM ปรับเกมรุกลุยเต็มสูบ เจาะอสังหาฯ เพิ่ม ROE-ROA ผลเรียกเก็บปีนี้ 17,800 ลบ.

HoonSmart.com>>BAM โตก้าวกระโดด ไตรมาส 2/68 ฟาดกำไร 1,511 ล้านบาท พุ่งขึ้น 72% รวมครึ่งปีสร้างผลเรียกเก็บสูงถึง 10,154 ล้านบาท วิ่งเข้าเป้าทั้งปี 17,800 ล้านบาท ปรับเกมรุกครึ่งปีหลัง ลุยธุรกิจทั้ง NPLs/NPAs เปลี่ยนโมเดล“ปู่โสมเฝ้าทรัพย์” สู่“Opportunities for All” กำลังสร้าง Eco System ไตรมาส 3 จับมืออสังหาฯแบรนด์ดัง เร่งระบายทรัพย์ร้าง รวมบ้านล็อตใหญ่ขายในราคา 70-75%ของราคาตลาด พร้อมประมูลหนี้คาดได้มา 3,000 ล้านบาท เร่งเพิ่ม ROE-ROA 

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ หรือ BAM กล่าวถึงผลการดำเนินงานครึ่งแรกปี 2568 ว่า โดยภาพรวมเป็นที่น่าพอใจ สร้างผลเรียกเก็บได้สูงถึง 10,154 ล้านบาท เติบโต 36% จากจำนวน 7,493 ล้านบาทในช่วงเดียวกันปีก่อน  ขณะที่ไตรมาส  2 ทำได้ 6,962 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 118%จากไตรมาสแรกที่ 3,192 ล้านบาทและมีกำไร 1,511 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 880 ล้านบาท ตั้งเป้าผลเรียกเก็บทั้งปี 17,800 ล้านบาท เพิ่ม ROE จาก 5.07% ครึ่งปีแรก เป็น 5.12% ROA จาก 4.39% เป็น 4.45% ขณะที่มี D/E อยู่ที่ 2.06 เท่า

สำหรับครึ่งปีหลัง BAM ปรับเกมรุกลุยธุรกิจเต็มสูบทั้งด้าน NPLs/NPAs ด้วยการเปลี่ยน Model “ปู่โสมเฝ้าทรัพย์” มาสู่ Model ธุรกิจใหม่ ในรูปแบบ “Opportunities for All” และกำลังสร้าง Eco System  ในการบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขาย หรือ NPAs กับพันธมิตรที่เป็น Developers ทั้งขนาด S M L ใหม่ที่จะเข้ามา flipping และขายให้กลุ่มลูกค้าของตนเอง ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญที่มุ่งขยายฐานธุรกิจและสร้างรายได้เพิ่มขึ้น

ในไตรมาสที่ 3 BAM มุ่งเน้นการคัดสรรและนำเสนอทรัพย์ NPA ขนาดล็อตใหญ่ให้พันธมิตรนำไปพัฒนาและเพิ่มมูลค่า ทั้งบ้านเดี่ยว อาคารพาณิชย์ คอนโดมิเนียม และที่ดินเปล่า ท่ามกลางราคาที่ดินราคาสูงจนไม่สามารถพัฒนาโครงการใหม่ได้ เพื่อพลิก “ทรัพย์ร้าง” ให้กลายเป็น “ทรัพย์สร้างกำไร” ต่อยอดเป็นทรัพย์สินที่สร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง ในราคาต่ำกว่าตลาด ประมาณ 70-75% เพื่อให้นำไปขายต่อลูกค้า ผ่อนตรงกับ BAM ช่วยลดระยะเวลาการถือครองจาก 8 ปี ตั้งเป้าเหลือ 4 ปีครึ่ง และสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นในระยะยาว ทั้งนี้ในครึ่งปีแรก BAM มีอัตรากำไรสุทธิถึง 21.17% เพิ่มขึ้นมากจากระดับ 12.53% จากสิ้นปี 2567

ที่ผ่านมา BAM  ได้ร่วมมือกับบริษัทพันธมิตรที่มีศักยภาพ อาทิ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ บริษัท วี บียอนด์ ดีเวลอปเม้นท์   บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด และบริษัท บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป   และสถาบันการเงิน เช่น ธนาคารยูโอบี ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ทั้งนี้ในไตรมาสที่ 2 สามารถสร้างยอดขายจากการจำหน่ายทรัพย์แปลงใหญ่ได้ถึง 1,450 ล้านบาท ซึ่งเป็นที่ดินเปล่าจำนวน 50 แปลง ตั้งอยู่ที่อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ เนื้อที่รวม 26-3-37.40 ไร่

ส่วนผลงานทางด้าน NPLs ยังใช้แนวทางที่ให้โอกาสลูกหนี้ในการได้หลักประกันซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยหรือที่ทำกินกลับคืนไปด้วยเงื่อนไขที่ผ่อนปรน และมุ่งช่วยเหลือลูกหนี้ให้สามารถฟื้นฟูกิจการหรือสถานะทางการเงินของตน โดยปรับโครงสร้างหนี้และหาทางออกที่ดีที่สุดร่วมกัน ด้วยกระบวนการ Recycling Machine ซึ่งมีเป้าหมายในการเร่งสร้างโรงงานแก้หนี้ (TDR Factory) เพื่อฟื้นฟูให้ลูกหนี้กลับมามีสุขภาพทางการเงินที่ดีขึ้น ซึ่ง BAM สามารถสร้างรายได้จากการปรับโครงสร้างหนี้ NPLs ลูกหนี้รายใหญ่รายหนึ่งได้ข้อยุติถึง 2,800 ล้านบาทในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา

” BAM เป็นมากกว่า AMC เราเป็น Recycling Machine โดยจะไม่โตคนเดียว ร่วมเดินไปด้วยกัน สร้างคุณค่ากับพันธมิตร ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ” ดร.รักษ์กล่าว

นอกจากนี้ได้มีการหารือเบื้องต้นกับบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ  (NCB) และธนาคารแห่งประเทศไทย เกี่ยวกับแนวทางการกำหนดรหัสใหม่ให้กับลูกหนี้ผ่อนชำระดีต่อเนื่อง ซึ่ง BAM จะเดินหน้าประสานงานรวมถึงหาพันธมิตรธนาคารที่จะเข้ามาช่วยลูกหนี้กลุ่มนี้ของ BAM ขณะเดียวกันยังมีหน้าที่ในการช่วยกลั่นกรองและปรับสภาพหนี้ (Buffer) ของลูกหนี้ เพื่อเป็นการลดภาะหนี้ของสถาบันการเงิน และจะช่วยให้สถาบันการเงินสามารถปล่อยสินเชื่อออกมาได้มากขึ้น

” BAM พร้อมจะทำงานเพื่อสังคมมากขึ้น และทำให้ BAM แข็งแรงมากขึ้น โมเดลไม่ได้มุ่งหวังทรัพย์ NPLs เป็น NPAs แต่มองทางรอดของลูกค้า เราเป็นหมอหนี้เต็มรูปแบบ ทำผลเรียกเก็บ ปรับโครงสร้างหนี้และเติมเงินใหม่เข้าไป  เพื่อให้เป็นหนี้ดี คนไทยมีบ้านมากขึ้น” ดร.รักษ์กล่าว

ส่วนแนวโน้มการซื้อหนี้ในครึ่งปีหลัง ดร.รักษ์กล่าวว่า ธนาคารพาณิชย์ 11 แห่งมี NPLs สูงกว่า 544,574 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.42% คาดว่าจะนำ NPLs ออกมาขายเกือบ 2 แสนล้านบาท มากกว่าปีก่อนที่ 1.4-1.5 แสนล้านบาท ขณะที่ BAM มีเงิน 8,800 ล้านบาท คาดว่าไตรมาสที่ 3 และ 4  BAM จะเข้าไปช้อปปิ้ง 3 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะได้หนี้มา 3,000 ล้านาท สมการในการซื้อเปลี่ยนแปลงไป ไม่ซื้อยกล็อตทั้งหมด แต่จะเลือกเน้นหนี้ธุรกิจ SMEs และสินเชื่อที่อยู่อาศัย อยากได้หนี้เป็น เพราะอยากปรับโครงสร้างหนี้มากกว่า ขณะที่หนี้ตายจะต้องไปเร่งคดี ไม่อยากทำ ดังนั้นจะต้องพิจารณาเรื่องราคาที่ใช่ และกองหนี้ที่อยากซื้อมากกว่า

ส่วนการร่วมทุนกับธนาคารออมสินถือหุ้นฝ่ายละ 50% ในบบส. อารีย์ ผลงาน 6 เดือนที่ผ่านมามีกำไร 38 ล้านบาท ส่วนบบส.อรุณร่วมกับธนาคารกสิกรไทย มีกำไร 22 ล้านบาท สินทรัพย์ 2,609 ล้านบาท

ดร.รักษ์ฯ ยังกล่าวถึงทิศทางตลาดบ้านมือสองว่ามีแนวโน้มดีขึ้น โดยเห็นสัญญาณจากสถาบันการเงินเริ่มปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยบ้านมือสองมีสัดส่วนที่มากขึ้นเมื่อเทียบกับบ้านใหม่ นอกจากนี้ BAM เตรียมเปิดตัวโครงการ “ทรัพย์มหาชน” สำหรับผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยราคาไม่แพง สามารถผ่อนชำระกับ BAM โดยตรง หรือผ่อนชำระกับสถาบันการเงินพันธมิตรที่ปล่อยสินเชื่อเงื่อนไขพิเศษให้กับลูกค้าที่ซื้อทรัพย์ BAM ซึ่งกลยุทธ์นี้ไม่เพียงช่วยให้ BAM ยืนหยัดได้ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง แต่ยังแปรเปลี่ยนวิกฤตให้กลายเป็นโอกาสที่จะสร้างการเติบโตให้กับ BAM ในระยะยาว โดยปัจจุบัน BAM มี NPLs ที่อยู่ในความดูแล 91,009 ราย คิดเป็นภาระหนี้เงินต้น 487,117 ล้านบาท และ NPAs จำนวน 28,043 รายการ คิดเป็นราคาประเมิน 77,812 ล้านบาท