‘TOP’โชว์กำไร 6,476 ล้านบ.Q2/68 ปรับกลยุทธ์เสริมแข็งแกร่งธุรกิจ

HoonSmart.com>>”ไทยออยล์”(TOP) เปิดผลงานรวมดีขึ้น ไตรมาส 2/68 กำไร 6,476 ล้านบาท  เพิ่มขึ้น 2,972 ล้านบาทจากไตรมาส 1 เติบโต 928.99 ล้านบาท 16.75% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ค่าการกลั่นสูงขึ้น กำไรขั้นต้นไม่รวมขาดทุนสต็อกน้ำมันดีขึ้น มีกำไรพิเศษจากซื้อคืนหุ้นกู้ 2,522 ล้านบาท ส่วนแบ่งกำไรเงินลงทุน มุ่งเน้นเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจ

บริษัทไทยออยล์ (TOP) เปิดเผยผลการดำเนินงานงวดไตรมาสที่ 2/2568 มีกำไรสุทธิ 6,475.78 ล้านบาท กำไรหุ้นละ 2.90 บาท เพิ่มขึ้น จำนวน 928.99 ล้านบาท คิดเป็น 16.75% จากระยะเดียวกันปีก่อนมีกำไรสุทธิ 5,546.79 ล้านบาท หรือ 2.48 บาทต่อหุ้น และเพิ่มขึ้น 2,972 ล้านบาทจากไตรมาส 1 รวม 6 เดือนปีนี้กำไรทั้งสิ้น 9,979.29 ล้านบาท กำไรหุ้นละ 4.47 บาท ลดลงจากที่มีกำไรสุทธิ 11,409.73 ล้านบาท หรือ 5.11 บาทต่อหุ้นในช่วงเดียวกันปีก่อน

นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ เปิดเผยว่า ในไตรมาส 2/2568 กลุ่มไทยออยล์ มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตที่ไม่รวมผลการขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน ปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ 7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากไตรมาสก่อนหน้าที่ 5.4 เหรียญสหรัฐ/ บาร์เรล จากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปทุกชนิดกับน้ำมันดิบดูไบที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยราคาน้ำมันเบนซินได้แรงหนุนจากอุปสงค์ในช่วงฤดูกาลขับขี่ในสหรัฐอเมริกา ประกอบกับราคาน้ำมันเตาปรับตัวเพิ่มขึ้นจากอุปสงค์การผลิตกระแสไฟฟ้า ในภูมิภาคตะวันออกกลางและเอเชียใต้ สำหรับราคาน้ำมันดีเซลและน้ำมันอากาศยานปรับตัวเพิ่มขึ้นจากอุปทาน ที่ตึงตัวเนื่องจากโรงกลั่นในสหรัฐและยุโรปปิดตัวลง

นอกจากนี้ กำไรขั้นต้นของธุรกิจผลิตสารตั้งต้นสำหรับผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด และธุรกิจผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานปรับตัวสูงขึ้นจากอุปทานที่ตึงตัวเนื่องจากการปิดซ่อมบำรุง ในขณะที่กำไรขั้นต้นของธุรกิจผลิตสารอะโรเมติกส์ปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากอุปทานสารเบนซีนที่อยู่ในระดับสูงเนื่องจากการส่งออกจากภูมิภาคเอเชียไปยังสหรัฐอเมริกาไม่คุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ รวมทั้งอุปสงค์สารเบนซีนยังคงถูกจำกัดเนื่องจากผู้ผลิตสารปลายน้ำปิดซ่อมบำรุงประจำปี

อย่างไรก็ตาม ตลาดได้คลายความกังวลในเรื่องอุปทานที่ตึงตัวหลังจากอิสราเอลและอิหร่านบรรลุข้อตกลงหยุดยิงภายในระยะเวลา 12 วัน นับจากวันที่เริ่มมีการโจมตี ทำให้ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยในไตรมาส 2 ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า ประกอบกับกลุ่มโอเปกพลัสทยอยยกเลิกมาตรการปรับลดกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา ทำให้มีอุปทานเข้าสู่ตลาดมากขึ้น ส่งผลให้กลุ่มไทยออยล์รับรู้ผลการขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันจำนวน 4,171 ล้านบาท

นอกจากนี้ กลุ่มไทยออยล์ ได้รับรู้กำไรพิเศษจากการซื้อคืนหุ้นกู้จำนวน 2,522 ล้านบาท และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมของบริษัท PT Chandra Asri Petrochemical Tbk (ซึ่งกลุ่มไทยออยล์ถือหุ้นในสัดส่วน  15%) จากการซื้อกิจการของบริษัท Aster Chemical and Energy Pte. Ltd. ในสิงคโปร์ ประมาณ 7,062 ล้านบาท ทำให้กลุ่มไทยออยล์มีกำไรสุทธิ 6,476 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 2,972 ล้านบาทจากไตรมาส 1 ปี 2568

นายบัณฑิตฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาพรวมของธุรกิจโรงกลั่นในไตรมาส 3 และ 4 ปี 2568 มีแนวโน้มปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งธุรกิจการกลั่นยังได้รับแรงสนับสนุนจากอุปทานที่ถูกจำกัด เนื่องจากโรงกลั่นในสหรัฐและยุโรปปิดตัวลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่อุปสงค์น้ำมันอากาศยานและน้ำมันดีเซลยังอยู่ในระดับที่ดี ธุรกิจสารอะโรเมติกส์คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น โดยอุปสงค์จะปรับตัวสูงขึ้นจากโรงผลิตสารปลายน้ำเปิดใหม่และความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ปลายน้ำในช่วงสิ้นปี ในขณะที่ธุรกิจผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานคาดการณ์ว่าจะปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน จากอุปทานที่ถูกจำกัดเนื่องจากการปิดซ่อมบำรุงของโรงผลิตน้ำมันหล่อลื้นพื้นฐานกลุ่มที่ 1 และธุรกิจตลาดสารตั้งต้นสำหรับผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดคาดการณ์ว่าจะยังคงถูกกดดันจากอุปทานที่ปรับเพิ่มขึ้น รวมถึงความต้องการในภูมิภาคที่มีแนวโน้มลดลงตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว”

ทั้งนี้ ไทยออยล์ จะยังคงติดตามสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิด พร้อมปรับกลยุทธ์และแผนการดำเนินการต่าง ๆ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจ และขับเคลื่อนองค์กรให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างมั่นคง