‘กลุ่มจันศิริ’ยันถือหุ้นใหญ่ 30% มิตซูบิชิ 20% ผสานจุดแข็งปั้น TU โตแกร่งยั่งยืนยิ่งขึ้น

HoonSmart.com>>หุ้น TU ร่วง นักลงทุนเข้าใจผิด กลุ่มไทยยูเนี่ยนทิ้งธุรกิจ-บริษัทถูกเทคโอเวอร์ หลัง“มิตซูบิชิฯ”เสนอซื้อหุ้นเพิ่ม 13.81% เป็น 20% ซีอีโอ”ธีรพงศ์ จันศิริ”ออกโรงชี้แจง ยันครอบครัวยังคงถือหุ้นใหญ่สุด 30% มิตซูบิชิ ฯถือหุ้นมากว่า 30 ปีแล้ว ต้องการลงทุนเพิ่มเชิงกลยุทธ์ (strategic partnership) เป็นพันธมิตร นำจุดแข็งมาร่วมกันทำธุรกิจการค้ามากขึ้น ทั้งอาหารทะเล อาหารสัตว์เลี้ยง สร้างการเติบโตจากความต้องการ และโซลูชันด้านโภชนาการที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก

วันที่ 4 ส.ค. 2568 หุ้นบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) ร่วงสวนทางตลาด ลงไปต่ำสุด 10.90 บาท ก่อนปิดที่ 11.50 บาท ลดลง 0.30 บาทหรือ -2.54% หลังจากบริษัท มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น เสนอซื้อหุ้น TU เพิ่มขึ้น 532,273,639 หุ้น หรือ 13.81% ในราคาหุ้นละ 12.50 บาท ทำให้ถือหุ้นจำนวน 771,018,759 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 20%ของทุนทั้งหมด (ไม่รวมหุ้นซื้อคืนที่บริษัทฯ ถืออยู่)  ถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่ง ขณะที่บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ถือสัดส่วน 7.26% และนาย ธีรพงศ์ จันศิริ ถือจำนวน 5.94% อาจจะสร้างความเข้าใจผิดเรื่องบริษัทถูกเทคโอเวอร์ หรือเจ้าของเดิมทิ้งหุ้น

นาย ธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) ต้องออกโรงชี้แจงว่า บริษัทมิตซูบิชิฯเข้ามาลงทุนหุ้น TU มาตั้งแต่ปี 1991 หรือมากกว่า 30 ปีแล้ว มีความสัมพันธ์มายาวนาน ผลิตสินค้าให้หลายตัว แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จ เมื่อปลายปี 2567ที่ผ่านมา ติดต่อมาขอซื้อหุ้นเพิ่มขึ้น คงเพราะเห็นกลุ่มไทยยูเนี่ยนฯเป็นพันธมิตรที่น่าเชื่อถือ และไว้วางใจได้  นอกจากนี้ยังมีเครือข่ายระดับโกลบอล ดำเนินธุรกิจมานาน สินค้ามีความหลากหลาย อาหารทะเล อาหารสัตว์เลี้ยง  มีแบรนด์ของบริษัทและรับจ้างผลิตให้แบรนด์ระดับโลก มีโอกาสเติบโตได้อีกมาก

“ผมขอยืนยันว่าไทยยูเนี่ยน ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นที่ใหญ่ที่สุดประมาณ 30% ธุรกิจที่เราสร้างมาเกือบ 50 ปี ผลการดำเนินงานยังเติบโตดี มั่นใจในธุรกิจของเรา เมื่อมีคนเข้ามา เราไม่ได้ต้องการเงิน แต่ต้องการความร่วมมือในการพัฒนาธุรกิจให้เติบโตมากกว่า ความสามารถในการแข่งขันดีขึ้น  ส่วนราคาที่เสนอซื้อ 12.50 บาท คำนวณมาจากราคาเฉลี่ยย้อนหลัง 30 วันและให้พรีเมี่ยม 20%  สามารถเปลี่ยนแปลงราคาได้หากมีปัจจัยสำคัญเปลี่ยนแปลง และจะต้องซื้อหุ้นได้เพิ่มขึ้นตามจำนวนที่ต้องการ ”

สำหรับมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น หนึ่งในผู้นำอุตสาหกรรมอาหารทะเลระดับโลก ที่ผ่านมากระจายการลงทุนในที่ต่างๆ ไม่ได้ทำกับไทยยูเนี่ยนฯเพียงแห่งเดียว ดังนั้น การลงทุนครั้งนี้มีนัยสำคัญ จากความร่วมมือของผู้ถือหุ้นที่รับเงินปันผล ยกระดับมาเป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ (strategic partnership) พันธมิตรทางธุรกิจที่สามารถรับรู้รายได้และกำไรต่าง ๆ ของไทยยูเนี่ยนฯได้ ทําธุรกิจการค้าร่วมกันมากขึ้น มีความเชี่ยวชาญด้านนวัตกรรม มีองค์ความรู้ และมีธุรกิจอยู่ทั่วโลก

สำหรับการประสานความร่วมมือครั้งนี้สอดคล้องกับกลยุทธ์ Strategy 2030 ของไทยยูเนี่ยน จะช่วยขับเคลื่อนใน 3 ปัจจัยหลัก คือ
1. การคว้าโอกาสในการสร้างการเติบโตจากความต้องการอาหารทะเลและโซลูชันด้านโภชนาการที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก การผสานจุดแข็งของไทยยูเนี่ยนในฐานะผู้ผลิตอาหารทะเลแปรรูประดับโลก เข้ากับเครือข่ายการจัดหาและกระจายสินค้าที่แข็งแกร่งของมิตซูบิชิฯจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการเข้าถึงวัตถุดิบในต้นทุนที่แข่งขันได้ และเสริมความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน

2. สร้างการเติบโตอย่างเป็นรูปธรรมในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่ตลาดมีความต้องการสูง รวมทั้งการต่อยอดธุรกิจที่มีศักยภาพสูง เช่น อาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งล้วนสอดคล้องกับเทรนด์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป

3. ร่วมกันผลักดันเป้าหมายด้านความยั่งยืน ด้วยการประสานกลยุทธ์ SeaChange® 2030 ของไทยยูเนี่ยน เข้ากับมาตรฐานด้านความยั่งยืนระดับโลกของมิตซูบิชิฯ เพื่อขับเคลื่อนความสำเร็จร่วมกัน ทั้งในด้านการจัดหาวัตถุดิบอย่างมีความรับผิดชอบ สวัสดิภาพแรงงาน และการรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อผู้คนและโลก

“ไทยยูเนี่ยนสนใจการพัฒนาสินค้า ตลาดซูชิในตลาดสหรัฐ เพราะมีภัตตาคารซูชิในสหรัฐมาก รวมถึงตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง  ITC มีงบลงทุนจำนวนมาก ต้องการครบรวมกิจการหรือ M&A  และ TFM ก็จะลงทุนมากขึ้น  คาดว่าภาพความร่วมมือจะเห็นมากขึ้นในปี 2569 ”

ส่วนความสนใจลงทุนในหุ้น TU ของกองทุนต่างชาติ ก็มีการเข้ามาคุยมากขึ้น หลังจากลดการลงทุนไปค่อนข้างมาก ทำให้ราคาหุ้นของ TU และบจ.อื่นๆ  ลดต่ำที่สุดในภูมิภาค  ตอนนี้สนใจมากขึ้น จะกลับมาทบทวนการลงทุน หลังจากเห็นภาษี (Tariff) ชัดเจนที่ 19%   ขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศไทยที่ได้เปรียบคู่แข่งประเทศอื่น ๆ ความร่วมมือในครั้งนี้ทำให้มั่นใจในธุรกิจที่จะขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตต่อเนื่องและยั่งยืน เพื่อช่วยกันเสริมสร้างฐานธุรกิจและอุตสาหกรรมอาหารให้แข็งแกร่งดีขึ้น