แกร็บ เปิดกลยุทธ์ 4A เพิ่มโอกาส ชิงเค้กเศรษฐกิจดิจิทัล 1.78 ล้านล.

HoonSmart.com>>แกร็บ เปิดกลยุทธ์ 4A เพิ่มโอกาสชิงเค้กเศรษฐกิจดิจิทัลไทยมูลค่า 1.78 ล้านล้านบาทปี 2568 ธุรกิจเรียกรถ-สั่งอาหาร เติบโตสูงสุด แย้มไตรมาส 1 ดีเกินคาดมั่นใจทำกำไรปีที่ 2 ได้แน่

นายวรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย เปิดเผยว่า จากงานวิจัยของ กูเกิล ,เทมาเส็ก และ เบรนฯ 3 รายใหญ่ของโลกที่ทำการวิจัย เรื่องเศรษฐกิจดิจิทัลเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประจำปี 2566 หรือ e-Conomy SEA 2023 เฉพาะประเทศไทยมีมูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลสูงถึง 3.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และภายในปี 2568 คาดว่าจะเติบโต 17% มาอยู่ที่ 4.9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (เทียบค่าเงินบาท ณ วันที่ 26 มี.ค.2567 ที่ 36.36 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯเท่ากับ 1.78 ล้านล้านบาท) โดยกลุ่มธุรกิจเรียกรถผ่านแอปและฟู้ดเดลิเวอรี่ จะมีอัตราการเติบโตสูงถึง 15% โดยเฉพาะธุรกิจเรียกรถ

ขณะที่การชำระเงินผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ หรือ ดิจิทัลเพย์เม้นท์ มีการคาดว่าจะโต 15% จากฐานลูกค้าชาวไทย และนักท่องเที่ยวที่มีการจับจ่ายใช้สอยในประเทศไทย และการปล่อยกู้ผ่านดิจิทัล มีการคาดการณ์ว่าจะเติบโต 31% ซึ่งถือว่าการเติบโตยังต่ำ เพราะในประเทศไทยแพลตฟอร์มการปล่อยกู้ผ่านดิจิทัลยังมีการทำกันน้อย

“ปีนี้เราเตรียมเดินหน้ารุกธุรกิจเต็มสูบ เพื่อร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ โดยใช้กลยุทธ์ 4A ในการเข้าไปชิงส่วนแบ่งจากโอกาสการเติบโตข้างต้น ควบคู่ไปกับการสานต่อโครงการต่างๆ ที่่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคมและการดูแลสิ่งแวดล้อมเพื่อมุ่งสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน สร้างความสมดุลให้เกิดขึ้นกับทุกคนที่อยู่ในระบบอีโคซิสเต็ม หรือระบบนิเวศน์ทางธุรกิจของเรา “นายวรฉัตร กล่าว

สำหรับ กลยุทธ์ 4A ประกอบด้วย หนึ่ง Active Users 3 กลุ่มหลัก คือ นักท่องเที่ยวต่างชาติ สมาชิกแพ็กเกจ GrabUnlimited และลูกค้าคุณภาพที่มีการใช้บริการเป็นประจำ ผ่านความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับพันธมิตร อาทิ ร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) บริษัทท่าอากาศยานไทย (AOT)ส่งเสริมการท่องเที่ยวและผลักดันซอฟต์พาวเวอร์อย่างต่อเนื่อง ยกระดับความปลอดภัย และความโปร่งใสของผู้เข้าร่วมขับรถกับแอบของแกร็บ ด้วยการตรวจประวัติ ดูแลพฤติกรรม มีบทลงทุน และมีผลตอบแทนพิเศษ

สอง Affordability เพิ่มทางเลือกให้กับผู้ใช้บริการและขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ เน้นความคุ้มค่าเป็นสำคัญ เพราะจากการสอบถามถึงปัจจัยที่ลูกค้าคนไทยมีความกังวลพบว่า 62% จะกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายของครัวเรือน จึงได้เปิดตัวบริการแกร็บคาร์เซพเวอร์สำหรับการเดินทางด้วยรถยนต์ขนาดเล็กในเวลาไม่เร่งรีบจะช่วยประหยัดได้ถึง 15% เมื่อเทียบกับรถทั่วไป ที่เปิดให้บริการแล้วใน 20 จังหวัด และบริการแกร็บไบค์เซพเวอร์สำหรับการเดินทางด้วยรถจักรยานยนต์ระยะทางไม่เกิน 4 กิโลเมตรราคาเริ่มต้น 26 บาท และในส่วนของธุรกิจเดลิเวอรี มีการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ฮอทดีล เริ่มต้นมื้อละ 19 บาท

“ธุรกิจเรียกรถ กับ เดลิเวอรีอาหาร เป็นธุรกิจที่ทำรายได้หลักให้กับบริษัท โดยไตรมาส 1 ปีนี้มีการเติบโตกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ โดยยอดเรียกรถขนาดใหญ่เติบโต 2 เท่า เพราะราคาที่คิดเป็นเงินไทยเมื่อเทียบกับเงินของนักท่องเที่ยวถือว่าค่าบริการไม่ได้สูงมาก ปีนี้เราจะขยายจุดให้บริการเพิ่ม โดยกำลังเจรจากับทาง AOT เพื่อเข้าไปให้บริการที่สนามบินสุวรรณภูมิปลายเดือนนี้น่าจะเปิดได้ และจะเปิดที่เชียงราย กับดอนเมืองด้วย จากปีที่ผ่านมาเข้าไปที่สนามบินภูเก็ต และเชียงใหม่ ที่มียอดการเติบโตถึง 2 เท่าเทียบกับปี 2565 ปี 2567 นี้คาดว่าบริษัทฯจะยังมีกำไรต่อเนื่องจากปี 2566 ที่สามารถพลิกขาดทุนมามีกำไรแล้ว แต่เนื่องจากอยู่ระหว่างการเตรียมเปิดเผยงบการเงิน จึงยังไม่สามารถบอกตัวเลขได้ “นายวรฉัตร กล่าว

นายวรฉัตร กล่าวว่า ธุรกิจเดลิเวอรีอาหาร เกิดขึ้นในช่วงโควิดที่คนใช้ออกไปไหนมาไหนไม่ได้ แทบไม่มีการเดินทาง และมีการสั่งอาหารไปทานที่บ้าน ต่อมาลูกค้าที่ใช้แอบเรียกรถ ก็มาใช้แอบสั่งอาหาร ในขณะที่ลูกค้าที่ใช้แอบสั่งอาหารก็มาใช้บริการเรียกรถ ทำให้เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยปีนี้จะมีการเปิดบริการสั่งซื้อของสดตามน้ำหนัก จากเดิมที่ซื้อเป็นแพค ซึ่งจะปลดล็อคสินค้าของซุปเปอร์มาร์เก็ตได้ถึง 40 ประเภทรายการ(SKU)รวมถึงการเรียกรถ และ สั่งอาหารล่วงหน้า ที่จะได้ราคาค่าส่งที่ถูกลง

ขณะที่ การปล่อยสินเชื่อผ่านโทรศัพท์มือถือ เกิดขึ้นจากการที่พันธมิตรที่เป็นคนขับแกร็บ และ ร้านอาหาร ต้องการสินเชื่อ แต่กู้เงินจากสถาบันการเงินไม่ได้ ทางบริษัทฯจึงเปิดให้บริการสินเชื่อหลัก 5,000-500,000 บาท แต่ปีนี้กำลังหารือกันว่าจะเพิ่มวงเงินสินเชื่อเป็นหลักล้านบาทขึ้นไปจนถึงหลักหลายล้านบาท เพราะบริษัทมีข้อมูลฐานคนขับและร้านอาหารอยู่แล้ว

กลยุทธ์ที่ 3 AI Technology โดยปีที่ผ่านมาพัฒนา AI หรือเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และแมชชีนเลิร์นนิง (Machine Learning หรือ ML)มากกว่า 1,000 โมเดล เพื่อเสริมประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจทั่วทั้งภูมิภาค และปีนี้จะนำมาต่อยอดสร้างประสบการณ์ที่ดีในการใช้แพลตฟอร์มให้กับผู้ใช้บริการ รวมถึงพาร์ทเนอร์คนขับและร้านค้า เช่น การนำ AI และ ML มาใช้ในการพิจารณาเครดิตสำหรับการปล่อยสินเชื่อ โดยที่ผ่านมาอัตราหนี้เสียมีไม่ถึง 2% ส่วนสาเหตุที่เกิดหนี้เสียมาจากพาร์ทเนอร์ที่เป็นร้านอาหารปิดตัวลง คนขับไปทำอาชีพอื่น ซึ่งบริษัทฯจะมีการติดตามทวงถามอย่างใกล้ชิด

สี่ Ads & New Services ธุรกิจโฆษณา ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ของบริษัท ที่มีความแตกต่างจากการโฆษณาผ่านช่องทางอื่น ตรงที่นำออฟไลน์กับออนไลน์มารวมกัน เน้นจับตลาดผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยว สุขภาพ ความงาม และสินค้าอุปโภคบริโภค โดยจะใช้โลโก้แบรนด์ของลูกค้าปักหมุด แทนตัวปักหมุดทั่วไป ปีนี้เปิดให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก สามารถเพิ่มยอดขายจากการทำโฆษณาแนะนำโปรโมชั่นกับลูกค้าด้วยตัวเอง ซึ่งผลตอบแทนจากการโฆษณาสูงถึง 6 เท่า ยกตัวอย่างลงโฆษณา 100 บาท ทำยอดขายได้ 600 บาท

“ในมุมของการทำธุรกิจเพื่อดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม เราตั้งเป้าหมายที่จะผลักดันให้พาร์ทเนอร์คนขับใช้รถ EV มาขับแกร็บให้ได้ 10% ภายในปี 2569 และมีโครงการร่วมปลูกต้นไม้เพื่อชดเชยการปล่อยคาร์บอนจากการใช้บริการด้วย”นายวรฉัตร กล่าว

นายวรฉัตร กล่าวว่า สำหรับปี 2566 ที่ผ่านมาถือเป็นปีทอง ผลประกอบการแข็งแกร่งจากความสำเร็จในการเปิดตัวบริการใหม่ๆ รวมถึงโครงการร่วมมือกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน และนโยบายการเปิดประเทศ ส่งเสริมการท่องเที่ยว ทำให้ยอดการเรียกรถผ่านแอปฯแกร็บ ของนักท่องเที่ยวต่างชาติเติบโตถึง 139% เมื่อเทียบกับปี 2565 ด้านธุรกิจเดลิเวอรี สั่งอาหารผ่านแอป ยังคงแข็งแกร่ง รวมถึงธุรกิจการเงิน ที่ได้เพิ่มช่องทางการชำระเงินสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติร่วมกับ Alipay และ Kakao Pay เชื่อมต่อระบบชำระเงินเข้ากับแอปฯกรุงไทย เน็กซ์ เพื่อขยายฐานผู้ใช้บริการต่างจังหวัด