“สิงห์ เอสเตท” ประกาศเลิกเพิ่มทุนแล้ว ปี 2562 ถึงเวลาเก็บเกี่ยวผลตอบแทนจากโครงการลงทุนที่ผ่านมา มีกระแสเงินสด ประเดิมออกกองทรัสต์ ขายหุ้นกู้ ยืมเงินแบงก์ มาต่อยอดการลงทุน เล็งซื้อโรงแรม 1-2 แห่ง ขยายธุรกิจใหม่ สร้างความฮือฮา เปิดโครงการ CROSSROADS ที่มัลดีส์ เป้าหมายระยะยาว สร้างรายได้ประจำ 50% วางยุทธศาสตร์มุ่งสู่การเป็น “โกลบอลโฮลดิ้ง คัมปานี” สร้าง”แบรนด์พรี่เมียมชั้นนำระดับสากล” เป็นหุ้นเติบโตเร็วและยั่งยืน ปี 2566 ติดอันดับดัชนี DJSI
นาย นริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท(S)แถลงทิศทางการดำเนินงาน ตอกย้ำวิสัยทัศน์ในการก้าวขึ้นสู่การเป็น”โกลบอล โฮลดิ้ง คัมปานี” ภายใต้”พรีเมี่ยม แบรนด์” พัฒนาสู่”แบรนด์ที่ยั่งยืนในระดับโลกหรือ โกลบอล เอสดี แบรนด์” ผ่านแผนการขับเคลื่อนองค์กรให้ความแข็งแกร่งและเติบโตเร็วอย่างยั่งยืน โดยไม่ได้ตั้งเป้าหมายที่จะเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์อันดับที่เท่าไร
บริษัทยังคงเดินหน้าลงทุนตามแผนที่วางไว้ ในปี 2562 ตั้งงบลงทุนรวมไว้ที่ 2 หมื่นล้านบาท ส่วนแรก 1 หมื่นล้านบาท ใช้สำหรับการซื้อกิจการทั้งโรงแรมอีก 1-2 แห่ง คาดปิดดีลได้ในปีหน้า ทำให้เครือมีโรงแรมเพิ่มเป็น 40-41 แห่ง พร้อมขยายการลงทุนหรือพัฒนาธุรกิจใหม่ ที่สร้างรายได้ประจำและมีลูกค้าจำนวนมากอยู่ระหว่างการศึกษา 2-3 ดีล อย่างเช่น ธุรกิจโลจิสติกส์ ในอนาคตจะมีการจัดตั้งบริษัทดำเนินกิจการเพื่อสังคม (SE)
สำหรับเป้าหมายการลงทุนต้องมีอัตราผลตอบแทน(IRR) มากกว่า 14% ขึ้นไป และมีผลตอบแทนในปีแรกไม่น้อยกว่า 8% มีการคืนทุนในช่วง 8-9 ปี นอกจากนี้โรงแรมที่ซื้อมา ต้องนำมาปรับปรุงให้เหมาะสมกับสภาพธุรกิจและเพิ่มมูลค่าทรัพย์สิน ปัจจุบันกำลังปรับปรุงโรงแรมที่ภูเก็ต จากที่มีห้องพักจำนวน 250 ห้องก็จะเพิ่มเป็น 300 ห้อง และปรับปรุงห้องประชุม สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้น ขณะที่ต้นทุนประจำไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก
ส่วนงบลงทุนอีก 1 หมื่นล้านบาทใช้ขยายธุรกิจ ซื้อที่ดิน 5,000 ล้านบาท งบก่อสร้างคอนโดมิเนียมระดับบนโครงการใหม่ มูลค่าโครงการ 3,000-4,000 ล้านบาท ก่อสร้างโครงการอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกโปรเจ็กต์ OASIS ติดกับอาคารซัน ทาวเวอร์ มูลค่าโครงการ4,000-5,000 ล้านบาท
“เราจะไม่รบกวนผู้ถือหุ้นอีกแล้ว ที่ผ่านมาเพิ่มทุนจดทะเบียนมามาก ต่อไปจะใช้กำไรจากการดำเนินงาน รวมถึงการนำอาคารซันทาวเวอร์ A และ B พี้นที่รวม 118,828 ตารางเมตร ขายเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เอส ไพรม์ โกรท (SPRIME) การออกหุ้นกู้ และการขอสินเชื่อจากแบงก์ หลังออกกองทรัสต์คืนแล้ว สัดส่วนหนี้สินต่อทุน(ดี/อี)จะลดลงจาก 1.5 เท่าเป็น1.2 เท่า”นายนริศกล่าว
แนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2562 รายได้จะเติบโตก้าวกระโดด ไม่น้อยกว่า 20,000 ล้านบาท ซึ่งเร็วกว่าแผนที่ตั้งไว้ในปี 2563 เนื่องจาก 3 ธุรกิจ ที่ลงทุนมาถึงเวลาเก็บเกี่ยวและสามารถรับรู้รายได้ได้เต็มปี การโอนโครงการคอนโดมิเนียม THE ESSE ASOKE ประมาณ 5,000 ล้านบาท หลังจากเริ่มโอนครั้งแรกใน เดือนธ.ค.2561 และเริ่มโอนโครงการคอนโดมิเนียม THE ESSE at Singha Complex กลางปี 2562 ซึ่งจะมีรายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายกว่า 1 หมื่นล้านบาท ส่วนธุรกิจโรงแรมและอาคารสำนักงานให้เช่า ของเครือโรงแรม Outrigger และการรับรู้รายได้ค่าเช่าในโครงการ Singha Complex ที่ปัจจุบันมีผู้เช่าแล้ว 80% จะเริ่มเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในเดือน ม.ค. 2562ส่วนธุรกิจในมัลดีฟส์ จะเปิดโครการ CROSSROADS จะเริ่มมีรายได้เข้ามาตั้งแต่ไตรมาส 1 ที่จะเปิดให้บริการ 2 โรงแรม และพื้นที่เช่าคอมมูนิตี้มอลล์
ปัจจุบันบริษัท ยอดขายรอโอน (backlog) อยู่ที่ 1.5 หมื่นล้านบาทที่จะทยอยรับรู้ไปจนถึงปี 2563 ส่วนแผนงานในปี 2562-2566 ตั้งเป้ารายได้โตมากกว่า 10% ต่อปี
“ในปี 2562 เราจะเติบโตก้าวกระโดด บริษัทวางแผนที่จะเดินสายให้ข้อมูลกับนักลงทุนสถาบันต่างประเทศ เพื่อให้บริษัทเป็นที่รู้จักมากขึ้น และวางเป้าหมายจะผลักดันหุ้นติดอันดับหุ้นยั่งยืนโลกหรือเข้าคำนวณในดัชนี DJSI ให้ได้ในปี 2566 เพื่อดึงดูดให้นักลงทุนสถาบันรายใหญ่ระดับโลกเข้าลงทุนในหุ้น S จากปัจจุบันที่ยังไม่มีสถาบันระดับโลกรู้จักมากและยังไม่มีการเข้ามาลงทุน