HoonSmart.com>>บล.คิงส์ฟอร์ด คาดดัชนีถูกกดดันทรัมปเดินหน้าปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าประเทศคู่ค้าตามกำหนด 4 มี.ค.นี้ ฉุดตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดร่วงแรงเมื่อคืนนี้ ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ร่วง ประเมินแนวรับดัชนี SET ที่ 1,170 – 1,180 จุด ส่วนแนวต้าน 1,200 จุด แนะนำพักเงินในกลุ่มปลอดภัยและเงินปันผลสูง หุ้นเด่นแนะ TIDLOR, CPF
บริษัทหลักทรัพย์คิงส์ฟอร์ด ประเมินแนวรับดัชนี SET ที่ 1,170 – 1,180 จุด แนวต้าน 1,200 จุด คาดดัชนีจะถูกกดดันจากความกังวลมาตรการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐ แนะนำพักเงินในกลุ่มปลอดภัยและเงินปันผลสูง เช่น BH, BDMS, ADVANC, CPALL, AP, SPALI, TISCO และเก็งกำไรหุ้นที่มีสัญญาณบวกทางเทคนิค เช่น AURA, SNNP, TVO
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐปิดวานนี้ DJIA -1.48%, S&P500 -1.76%, Nasdaq -2.64% จากแรงขายกลุ่มเทคโนโลยี นำโดย Nvidia -8.7%, Tesla -2.84% จากความกังวลประธานาธิบดีทรัมป์เตรียมเก็บภาษีศุลากากรจากเม็กซิโกและแคนาดาในอัตรา 25% , พลังงานจากแคนาดาที่ 10% และเพิ่มการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนอีก 10% ที่จะเริ่มขึ้นในวันนี้ 4 มี.ค. รวมถึง มาตรการศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) กับทุกประเทศในวันที่ 2 เม.ย. ส่งผลให้สงครามการค้าอาจรุนแรงขึ้น และเป็นผลลบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก แม้ว่า รมว.พาณิชย์สหรัฐให้ความเห็นยังมีความไม่แน่นอนต่ออัตราภาษีที่เก็บกับเม็กซิโกและแคนาดา
ประเด็นที่ต้องติดตามวันพรุ่งนี้ 9.00 น. ประธานาธิบดีทรัมป์จะแถลงต่อสภาคองเกรส และวันศุกร์ติดตามตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐ ก.พ. คาด 156,000 และ ม.ค. 143,000 ราย, อัตราว่างงานคาดที่ 4.0%
ตลาดหุ้นยุโรปวานนี้ปิดทำจุดสูงสุด นำโดย DAX เยอรมัน +2.64% ได้แรงหนุนจากกลุ่มอุตสาหกรรมอวกาศ & ป้องกันประเทศ +7.7% หลังผู้นำประเทศยุโรปจะเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหม หลังข้อตกลงสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครน
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจนั้น CPI ยูโรโซน ก.พ. อยู่ที่ 2.4% & ม.ค. 2.5% YoY ส่งผลให้ประชุม ECB ในวันพฤหัสนี้มีโอกาสที่จะปรับลดดอกเบี้ยเงินฝากลง 0.25% อยู่ที่ 2.5%
ด้านจีนประเด็นสำคัญวันที่ 4 – 5 มี.ค.ติดตามการประชุม NPC & CPPCC ของจีน ที่คาดจะวางเป้าหมายการเติบโตเศรษฐกิจจีนปีนี้ที่ 5 % ซึ่งคาดอาจต้องทำงบประมาณขาดดุลที่ 5% และปีก่อนที่ 4% ต่อ GDP
หุ้นเด่นแนะนำ TIDLOR (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 20.40 บาท) บริษัทรายงานกำไรสุทธิ 4Q67 ที่ 1 พันล้านบาท เติบโต QoQ, YoY แม้ว่า NIM จะปรับลดลงต่อจากต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น และมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่สูงกว่าไตรมาสอื่น แต่ได้รับการชดเชยจากการตั้งสำรองที่ลดลงสอดคล้องกับคุณภาพสินเชื่อที่ดีขึ้น โดย NPL ratio ลดลงเหลือ 1.8% เป็นผลจากความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อและอานิสงส์มาตรการแจกเงินของรัฐบาล ส่วนรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยดีขึ้นจากธุรกิจนายหน้าขายประกัน รวมปี 67 มีกำไรสุทธิ 4.2 พันล้านบาท +12%YoY
สำหรับแนวโน้มปี 68 ตลาดคาดกำไรราว 4.8 พันล้านบาท +13%YoY หนุนจาก NIM ที่เริ่มทรงตัวต้นทุนดอกเบี้ยน่าจะใกล้ถึงจุดสูงสุด ขณะที่สินเชื่อรวมปรับเพิ่มขึ้นใกล้ปีก่อนราว +7% เน้นจำนำทะเบียนและยังเข้มงวดกับสินเชื่อรถบรรทุกมือสองที่มีความเสี่ยงสูง ส่วนคุณภาพสินเชื่อจะดีขึ้นการตั้งสำรองจะปรับลดลง และผลขาดทุนรถยึดจะชะลอลง
หุ้น CPF (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 30.00 บาท) กำไรสุทธิ 4Q67 อยู่ที่ 4,173 ลบ.(+3,346%YoY, -42.91%QoQ,) โดย QoQ มีปัจจัยกดดันกำไรจาก รายการขาดทุนจากการด้อยค่าราว -2,467 ลบ.(ไก่จีน/สัตว์น้ำเวียดนาม) ซึ่งหากตัดปัจจัยดังกล่าวออกไป การดำเนินงานยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี รายได้และ GPM มีแรงหนุนจากราคาสุกรในไทยและเวียดนามที่ประคองตัวในโซนทำกำไรต่อจาก 3Q67 และปรับตัวดีขึ้นชัดเจน YoYประกอบกับต้นทุนอาหารสัตว์บกยังไม่สูง ส่งผลให้ GPM ไตรมาสนี้อยู่ที่ 15.67% +646bsp YoY +29 bspQoQ ด้านส่วนของ Equity Income ยังมีแรงหนุนจาก CPALL
สำหรับแนวโน้มกำไรช่วงถัดไป 1Q68 เราคาดว่าจะยังอยู่ในเกณฑ์ดีหนุนด้วยราคาสุกร โดยเดือนก.พ.68 ราคาสุกรไทยอยู่ที่ 79.00 บาท/กก.(+16%YoY, +4%MoM)
