ความจริงความคิด : กันไว้ดีกว่าแก้ ดูหุ้นกู้ให้ละเอียดก่อนลงทุน


โดย…สาธิต บวรสันติสุทธิ์, CFP นักวางแผนการเงิน

อย่างที่กล่าวไปในสัปดาห์ที่แล้ว เกี่ยวกับวิธีที่ควรทำหากหุ้นกู้ที่เราถืออยู่ผิดนัดชำระหนี้ ว่าโอกาสที่เราจะได้รับเงินคืนมีน้อยมาก วิธีที่ดีกว่า คือ การเลือกหุ้นกู้ให้ดีก่อนลงทุน ซึ่งมี “7 ข้อสำคัญ” ที่สำนักงาน ก.ล.ต. ให้คำแนะนำเอาไว้ ดังนี้

1. ควรต้องศึกษาและทำความเข้าใจข้อมูลของหุ้นกู้นั้นๆก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง โดยสามารถศึกษา ข้อมูลได้จากจากหนังสือชี้ชวน แบบสรุปข้อมูลสำคัญของตราสาร (factsheet) ข้อมูลการจัดอันดับความ น่าเชื่อถือ และงบการเงิน เพื่อให้ทราบข้อมูลเบื้องต้นของหุ้นกู้ว่าบริษัทผู้ออกเป็นใคร อยู่ในอุตสาหกรรมใด หุ้นกู้ที่จะลงทุนมีลักษณะอย่างไร มีอายุและอัตราดอกเบี้ยเป็นอย่างไร มีหลักประกันหรือไม่ เป็นหุ้นกู้ด้อยสิทธิ หรือไม่ เงินที่ระดมทุนได้จะนำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ใด รวมถึงผู้ออกมีสถานะทางการเงินและอันดับความน่าเชื่อถือเป็นอย่างไร เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาประเมินความสามารถในการรับความเสี่ยงของตนเองกับหุ้นกู้รุ่นดังกล่าวได้ โดยสามารถคลิกดูข้อมูลได้ที่ https://market.sec.or.th/public/idisc/th/Product/Filing หรือ แอปพลิเคชัน SEC Bond Check

2. ควรพิจารณาความเสี่ยงก่อนที่จะลงทุนในหุ้นกู้ ได้แก่

    1. a.

ความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัทผู้ออกหุ้นกู้

    1. เช่น อาจไม่ได้รับชำระดอกเบี้ย หรือเงินต้นคืน ในกรณีที่ผลการดำเนินงานของบริษัทผู้ออกไม่เป็นไปตามที่คาด เป็นต้น

b. ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง เช่น ไม่สามารถขายหุ้นกู้ดังกล่าวก่อนครบกำหนด เนื่องจากการซื้อขาย เปลี่ยนมือหุ้นกู้ในตลาดรองอาจมีไม่มาก หรือบางตัวแทบจะไม่มีสภาพคล่องเลยในตลาดรอง

c. ความเสี่ยงด้านราคา ในกรณีที่มีการขายหุ้นกู้ก่อนครบกำหนดการไถ่ถอน อาจไม่สามารถขายได้ใน ราคาที่ต้องการ ซึ่งขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น สภาวะเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ย และอายุของหุ้นกู้ เป็นต้น

3. เครื่องมือหรือปัจจัยที่ช่วยในการพิจารณาความเสี่ยงของหุ้นกู้ในเบื้องต้นมีอะไรบ้าง ผู้ลงทุนแต่ละคนอาจมีความสามารถในการรับความเสี่ยงที่ไม่เท่ากัน โดยเครื่องมือหรือปัจจัยที่จะช่วยในการ พิจารณาความเสี่ยงของหุ้นกู้ในเบื้องต้น ได้แก่

    1. a.

อันดับความน่าเชื่อถือ (credit rating)

    1. : โดยหุ้นกู้ที่มีอันดับเครดิตที่ดีหรืออยู่ในระดับ investment grade จะมีความเสี่ยงที่ต่ำกว่า ส่วนหุ้นกู้ที่มีอันดับเครดิตต่ำกว่าในระดับ investment grade ลงมาหรือหุ้นกู้ที่ไม่มีการจัดอันดับเครดิต จะมีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ที่สูงกว่า แต่ก็มีการให้ ผลตอบแทนสูงตามไปด้วย เพื่อชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น

b. ประเภทของหุ้นกู้ : เนื่องจากหุ้นกู้แต่ละประเภทอาจมีความเสี่ยงและลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน เช่น หุ้นกู้ด้อยสิทธิ ซึ่งมีสิทธิในการได้รับชำระหนี้ด้อยกว่าเจ้าหนี้สามัญ หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน (perpetual bond) ที่ไม่มีครบกำหนดไถ่ถอนและอาจต้องถือครองไปตลอดชีวิต รวมถึงตราสารด้อยสิทธิที่ นับเป็นเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งมีเงื่อนไขแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญ ลดมูลค่า หรือ ปลดหนี้ได้ ดังนั้น ผู้ลงทุนจึงจำเป็นที่จะต้องพิจารณาลักษณะของหุ้นกู้ว่าเหมาะกับลักษณะการลงทุนของตนเองหรือไม่ ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน

c. การประกอบธุรกิจของผู้ออกหุ้นกู้ : นอกจากการพิจารณาอันดับความน่าเชื่อถือและประเภทของ หุ้นกู้แล้ว ผู้ลงทุนเองก็ควรที่จะพิจารณาในเรื่องการประกอบธุรกิจของผู้ออกด้วยเช่นเดียวกัน เช่น การ พิจารณาว่าผู้ออกประกอบธุรกิจอะไร ธุรกิจของผู้ออกหุ้นกู้ที่มีแนวโน้มเป็นอย่างไรในอนาคต ธุรกิจดังกล่าวมี ความเสี่ยงในเรื่องอะไร รวมถึงผู้ออกได้มีการออกหุ้นกู้เพื่อนำเงินไปใช้ในโครงการอะไรหรือทำอะไร

d. ปัจจัยประกอบอื่น ๆ เช่น หุ้นกู้ดังกล่าวมีหลักประกันหรือไม่ มีอายุหุ้นเท่าไร รวมถึงหุ้นกู้รุ่น ดังกล่าวมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้หรือไม่ เป็นต้น

4. ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้คือใคร และมีหน้าที่อะไร “ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้” เป็นเหมือนตัวแทนของผู้ถือหุ้นกู้ในแต่ละรุ่น ที่มีหน้าที่ติดตามให้ผู้ออกหุ้นกู้ปฏิบัติตาม ข้อกำหนดสิทธิหรือข้อตกลงระหว่างผู้ออกกับผู้ลงทุน โดยหากเกิดกรณีที่บริษัทผู้ออกไม่ชำระหนี้หรือผิด ข้อกำหนดสิทธิอื่น ๆ ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ก็จะมีหน้าที่เรียกร้องให้บริษัทผู้ออกชี้แจงและแก้ไข เรียกร้องให้ชำระหนี้ บังคับหลักประกัน และเรียกร้องค่าเสียหายให้แก่ผู้ถือหุ้นกู้ รวมถึงเป็นศูนย์กลางในการให้ข้อมูลต่าง ๆ กับ ผู้ลงทุนด้วย

5. เมื่อได้ลงทุนไปแล้ว ผู้ลงทุนควรมีการติดตามอย่างไร ผู้ลงทุนควรจะต้องติดตามข้อมูลของบริษัทผู้ออกอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในเรื่องผลการดำเนินงาน งบการเงิน การปฏิบัติตามข้อกำหนดสิทธิ และการเปลี่ยนแปลงอันดับความน่าเชื่อถือ เพื่อประเมินความเสี่ยงว่า ยังคงอยู่ในขอบเขตที่รับได้หรือไม่ หรือมีโอกาสที่บริษัทผู้ออกจะผิดนัดชำระหนี้หรือไม่ โดยหากพิจารณาแล้วมี แนวโน้มที่จะมีความเสี่ยงสูงกว่าที่จะรับได้อาจพิจารณาขายในตลาดรอง อีกทั้งหากพบว่าผู้ออกไม่ปฏิบัติตาม ข้อกำหนดสิทธิ หรือเกิดเหตุการณ์ที่อาจกลายเป็นเหตุผิดนัดตามข้อกำหนดสิทธิ ผู้ลงทุนควรสอบถามหรือแจ้ง ให้ “ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้” ทราบ เพื่อให้ดำเนินการติดตามแก้ไขและรักษาผลประโยชน์ของผู้ลงทุน

6. การใช้สิทธิของผู้ถือหุ้นกู้ในการขอขยายอายุหุ้นกู้ ในกรณีที่ผู้ออกหุ้นกู้เล็งเห็นว่าบริษัทอาจยังไม่สามารถชำระคืนหนี้หุ้นได้ อาจมีการจัดประชุมผู้ถือหุ้นกู้เพื่อขอ ขยายระยะเวลาชำระคืนเงินต้น ในขั้นตอนนี้ผู้ลงทุนควรใช้สิทธิในการซักถามผู้ออกหรือ “ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้” เพื่อให้ได้ข้อมูลครบถ้วนและเพียงพอต่อการตัดสินใจลงมติ โดยควรครอบคลุมในประเด็นดังนี้

    1. a. สาเหตุของการไม่สามารถไถ่ถอนหุ้นกู้ตามกำหนดเดิมได้ ข้อเสนอและเงื่อนไขในการขอขยาย ระยะเวลาชำระคืนเงินต้น

b. แผนการจัดหาแหล่งเงินเพื่อการชำระคืนหนี้ ระยะเวลาการดำเนินการ ความเป็นไปได้ของแผน ที่วางไว้ และความเพียงพอที่จะรองรับการชำระหนี้

c. ข้อดี ข้อเสีย ประโยชน์ และผลกระทบของการลงมติในแต่ละทางเลือก

d. ขั้นตอนการดำเนินการตามข้อกำหนดสิทธิในการเรียกร้องให้บริษัทผู้ออกผู้ออกตราสารหนี้ชำระหนี้ ทั้งหมด กรณีที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้ลงมติไม่อนุมัติ

7. เมื่อเกิดเหตุการณ์ผิดนัดชำระหนี้ผู้ลงทุนจะต้องดำเนินการอย่างไร หัวข้อนี้สามารถหาอ่านได้จากบทความในครั้งที่แล้ว

อ่านบทความอื่นๆ

ความจริงความคิด : หุ้นกู้เบี้ยวหนี้ ต้องทำอย่างไร