‘เซียนฮง’ชี้หุ้นแค่เด้ง ไม่ต้องไล่ซื้อ ชี้วิธีเลือกตัวเด่น จับตาอสังหาฯขายฝืด

HoonSmart.com>>“สถาพร งามเรืองพงศ์” หรือ “เซียนฮง” มองตลาดเด้ง 30 จุด ไม่ต้องรีบไล่ซื้อ คาดลงต่ออีกยาว 1-2 ปี มีปัจจัยลบรออยู่ จับตาอสังหาฯเดือนก.ย.ขายได้แค่ 9%ของยูนิตเปิดใหม่ หากต่ำอีก 3-4 เดือน ไม่มีแรงชำระหุ้นกู้ดอกเบี้ยสูง เปิดพอร์ตส่วนตัว 5-6 พันล้านบาท ปีนี้ขาดทุนเฉลี่ย 45-50% กอดเงินสด 50% รอตลาดทรุดหนัก จังหวะช้อน แนะเลือกตัวกระแสเงินสด -งบดุลแกร่ง เตือนภาวะไม่เอื้อใช้อนุพันธ์-มาร์จิ้น ทำพอร์ตพัง ด้านหุ้นไทยกระโดดขึ้นแรงตามต่างประเทศ ต่างชาติลุยซื้อ 3 พันล้านบาท  “ภากร”ย้ำไม่พบความผิดปกติจาก Short Sell และ Naked Short Sell

นายสถาพร งามเรืองพงศ์” หรือ “เซียนฮง” หนึ่งในเซียนหุ้นของไทย เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นที่พุ่งแรงเกือบ 30 จุด วันนี้ เป็นเพียงการปรับตัวขึ้นช่วงสั้น เพราะ earning-yield-gap ยังต่ำมากในรอบเกือบ 20 ปี สะท้อนว่าโอกาสที่ตลาดจะปรับตัวขึ้นต่อรออีก 1-2 ปี พิจารณาจากอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล (บอนด์ยีลด์) สหรัฐ สูงเกือบ 5% โดยไม่มีความเสี่ยง ขณะที่เศรษฐกิจยังไม่ดี ทำให้หุ้นที่ปรับตัวลงมากขนาดนี้ ยังไม่ถูก จึงไม่ต้องรีบซื้อหุ้น  ยอมรับว่าหุ้นไทยมีเสน่ห์น้อยลง  ข่าวสารเคลื่อนไหวเร็ว รอบธุรกิจสั้นลง ถูกดิสรัปชันทำให้ถือหุ้นยาวไม่ได้

ส่วนตัวเลือกถือเงินสด รอให้ตลาดดิ่งลงแรงๆ ค่อยตัดสินใจเข้าไปซื้อ แม้ว่าตอนนี้หุ้นตัวใหญ่หลายตัวถูก เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ และปิโตรเคมี จากสัดส่วนราคาต่อมูลค่าหุ้นทางบัญชี (P/BV) ต่ำกว่าในช่วงโควิด แต่ไม่รีบร้อน มีโอกาสได้ของถูกกว่านี้ ขณะเดียวกันหาโอกาสซื้อหุ้นที่ชอบโมเดลธุรกิจและผู้บริหาร ส่วนหุ้นในพอร์ตที่มีอยู่จำนวน 10-11 ตัว ดูแล้วยังมีโอกาสเติบโตในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ถือลงทุนต่อไป

‘เซียนฮง’แนะนำวิธีการเลือกซื้อหุ้นในสถานการณ์ดอกเบี้ยสูง ต้องดูรายตัว ให้น้ำหนักมากสำหรับบริษัทที่มีกระแสเงินสดสูง และมีงบดุลที่ดี เพราะจะมีเงินเพียงพอในการชำระหนี้ ขยายธุรกิจ  หากตลาดกลับมาจะตีกลับได้เร็ว ส่วนหุ้นเติบโตสูงให้น้ำหนักน้อยลง ในสถานการณ์นี้ สำหรับหุ้นกลุ่มไฟแนนซ์ ที่เคยสร้างกำไรให้กับพอร์ตสูงมาก ก็ให้ซื้อหุ้นที่มี NPLs ต่ำ  ไม่มีภาระในการตั้งสำรองสูงๆ

” ตอนที่เริ่มเข้ามาตลาดหุ้น ด้วยเงิน 1 แสนบาท ที่บ้านเห็นว่าลงทุนจริงจัง จึงให้มา 6 แสนบาท พอร์ตเคยขึ้นไปถึง 1 หมื่นล้านบาท สภาพตลาดหุ้นตอนนั้นสร้างเนื้อสร้างตัวได้ เพราะดอกเบี้ยต่ำ แม้ P/E ค่อนข้างสูง สามารถหาหุ้นที่มีการเติบโตสูง ราคาก็ยังขึ้นได้ เคยได้กำไร 1-3 เท่าตัว คือหุ้นตัวหนึ่งลงทุน 1,000 ล้านบาท ได้กำไร 3,000 ล้านบาท อีกตัวลงทุน 2,000 ล้านบาท ถือเพียง 7 เดือนได้กำไร 2,000 ล้านบาท โดยเลือกลงทุนหนัก ๆ 3 ตัว แต่ตลาดตอนนี้ไม่ใช่ เล่นยากมาก เพราะดอกเบี้ยสูง เศรษฐกิจเติบโตต่ำ หากมีเงินสด 100% ให้ลงทุนไม่เกิน 50% ยิ่งปีนี้ ทำให้พอร์ตที่มีอยู่ประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท ขาดทุนเฉลี่ย 45-50% หนักที่สุดในรอบ 10 ปี และมีเงินสดอยู่ 50% รอจังหวะตลาดทุนแย่มากๆ ถึงเข้าไม่ซื้อ ไม่ต้องรีบ  ส่วนการลงทุนต่างประเทศ เคยออกไปลงทุนที่จีน แต่ขาดทุนมาก กลับมาตลาดหุ้นไทยแล้ว  ไม่ไปลงทุนต่างประเทศ เพราะตลาดมีความอ่อนไหวมากแค่ผิดหวังกำไรที่โตน้อยกว่าคาด ราคาก็ร่วงลงแรง “เซียนฮงกล่าว

ขณะเดียวกันดีลควบรวมกิจการ (M&A) จะเกิดขึ้นน้อย เพราะต้นทุนการเงินสูงไม่คุ้ม และเกิดการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้มากขึ้น เพราะต้นทุนดอกเบี้ยสูงแถว 5-6 % ต่อปี เทียบกับในอดีตอยู่ที่ 2-3% ต่อปี

นอกจากนี้ให้ระวังธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทางบล.กสิกรไทยออกบทวิเคราะห์พบว่า การขายในเดือนก.ย.2566 ได้เพียง 668 ยูนิต คิดเป็น 9.3%ของยูนิตเปิดใหม่จำนวน 7,168 ยูนิต ถือว่าต่ำมาก จะต้องติดตามดูตัวเลขต่อไปอีก 3-4 เดือนว่าจะฟื้นตัวหรือไม่ เกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อสภาพคล่อง เพราะธุรกิจอสังหาฯเป็นการหมุนเงิน หากขายบ้านได้น้อย ก็อาจจะมีผลต่อการชำระหุ้นกู้ที่มีดอกเบี้ยสูงก็ได้ ทั้งนี้ การขายบ้านในช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ มีจำนวน 12,014  ยูนิต คิดเป็น 17.8% ของการเปิดใหม่จำนวน 67,451 ยูนิต

เซียนฮง ยังกล่าวอีกว่า มีนักลงทุนใหม่ ๆ หลายรายมาขอคำปรึกษา โดยส่งพอร์ตมาให้ดู พบปัญหาตรงกันว่า กำไรที่ได้มาจากการลงทุนมาหลายปี แต่ตอนนี้พอร์ตกลับไปอยู่ในจุดเริ่มต้น เพราะมีการใช้เครื่องมืออนุพันธ์ เช่นเล่น Block trade  และใช้สินเชื่อมาร์จิ้น ทำให้ขาดทุนหนัก  ซึ่งภาวะหุ้นแบบนี้ไม่แนะนำ

ด้านตลาดหุ้นวันที่ 15 พ.ย.2566 ดัชนีปิดที่ระดับ 1,415.17 จุด เพิ่มขึ้น 29.13 จุด หรือ 2.10% มูลค่าซื้อขาย 63,738.22 ล้านบาท เกิดจากนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 3,558.85 ล้านบาท สวนทางนักลงทุนไทยขายสุทธิ 3,956.70 ล้านบาท

น.ส.ชุติกาญจน์ สันติเมธวิรุฬ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นวันนี้ปรับตัวขึ้นได้ค่อนข้างแรง เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศ ทั้งภูมิภาคเอเชีย และตลาดในยุโรปเทรดบ่ายนี้ต่างก็ปรับตัวขึ้นกัน ได้รับ Sentiment บวก หลังตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐออกมาต่ำกว่าตลาดคคาด ทำให้คลายกังวลดอกเบี้ยสหรัฐ อาจจะยุติการขึ้น และลดดอกเบี้ยได้เร็วขึ้น ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี  ปรับตัวลงค่อนข้างแรง มาแถว 4.43% จากก่อนหน้านี้อยู่ 4.7% เงินดอลลาร์สหรัฐก็อ่อนค่าลงด้วย หนุนตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้น ส่งผลให้หุ้นที่เติบโตดี (Growth) บวกได้สดใส

นอกจากนี้ ตัวเลขเศรษฐกิจจีน ทั้งยอดค้าปลีก และตัวเลขภาคอุตสาหกรรม ก็ออกมาดีกว่าคาด ทำให้มาช่วยหนุนตลาด รวมถึงล่าสุดเงินเฟ้ออังกฤษออกมาชะลอตัวกว่าตลาดคาดด้วย อย่างไรก็ดีให้จับตาการพูดคุยระห่วางผู้นำสหรัฐ และผู้นำจีนวันนี้

ทั้งนี้ ตลาดได้รับอานิสงส์แรงซือกลับเข้ามาที่หุ้นในกลุ่มไฟแนนซ์, โรงไฟฟ้า และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และแรงซื้อหุ้นขนาดใหญ่ที่ขึ้นมาตอบรับมาตรการภาครัฐ    Digital Wallet, E-Refund และกองทุน Thailand ESG ช่วยดันดัชนีฯให้ยืนเหนือ 1,400 จุดได้

แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (16 พ.ย.) ตลาดยังมีโมเมนตัมบวกได้ต่อเนื่อง โดยมีแนวรับ 1,405-1,400 จุด แนวต้าน 1,425-1,430 จุด

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แถลงข่าวตอนบ่าย ยืนยันว่า ตลาดหลักทรัพย์ไม่พบความผิดปกติจากการทำ Short Sell และ Naked Short Sell หลังจากที่ได้ทำการตราวจสอบข้อมูลในช่วงเดือนก.ค.66 และกำลังเตรียมการที่จะเปิดเผยข้อมูลเพิ่มในอนาคต โดยขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลว่าจะมีอะไรบ้างที่จะเปิดเผยเพิ่มเติม

ทั้งนี้ รายการซื้อขายตามข่าวที่เกิดขึ้นในวันที่ 12 ก.ค.66 (ประมาณ 10.30 น.)โดยใช้เวลาในการส่งทั้งหมดประมาณ 2 นาที รวม 6 ออเดอร์ จำนวนประมาณ 30 ล้านหุ้น ซึ่ง Surveillance monitor พฤติกรรม “real time” ในวันดังกล่าวและพบข้อเท็จจริง ดังนี้ 1.ออเดอร์ขายจำนวนมาก ไม่ได้ส่งจาก Foreign Program 2.แต่เป็นคำสั่งขายจากผู้ถือหุ้นในประเทศที่ถือครองหุ้นมากกว่าจำนวนที่ตั้งออเดอร์ขาย จึงไม่ใช่การ Short Sell 3. คำสั่งซื้อขายจำนวนมากดังกล่าว ไม่เกิดการ match เลย และไม่กระทบราคาหุ้นในช่วงเวลาที่วางออเดอร์ไว้ 4.ภายใน 20 นาทีหลังจากนั้น มีการถอนคำสั่งขายทั้งหมด แล้วไม่ใส่กลับมาอีกเลยตลอดทั้งวัน

นายภากร กล่าวว่า อยากให้สัดส่วนนักลงทุนมีการกระจายไปเป็น 1 ใน 3 ทั้งส่วนของนักลงทุนในประเทศ, สถาบัน, บริษัทหลักทรัพย์ และต่างชาติ ซึ่งโปรแกรมเทรดิ้งของของต่างชาติรวดเร็ว และเพิ่มวอลุ่มเทรดได้มาก การจะเพิ่มสัดส่วนวอลุ่มเทรดของรายย่อย และสถาบันในประเทศ ยังต้องใช้เวลา โดยต้องเพิ่มฐานรายย่อยปีละ 5-6 แสนคนถึงจะทัดเทียมการซื้อขายของต่างชาติ ซึ่งทำได้ยาก จากเมื่อก่อนเพิ่มฐานรายย่อยแค่ปีละแสนคนก็ถือว่ามากแล้ว

“การพัฒนาตลาดทั่วโลกเกี่ยวกับโปรแกรมเทรดดิ้งเพิ่มเร็วเสมอ จึงเห็นสัดส่วนมากขึ้น ทำให้เพิ่มขึ้นในอัตราเร่งที่ไม่เท่ากัน เราต้องโปรโมททำอย่างไรให้นักลงทุนในประเทศมีสัดส่วนมากขึ้น”นายภากรกล่าว