“พรูเด็นเชียลฯ” ผุดประกันไฮบริด ปิดจุดอ่อนรายกลุ่ม-ทุ่มESGวัยเด็ก

HoonSmart.com>>สงครามการตลาดไม่เคยหยุดนิ่ง ยิ่งในธุรกิจประกันชีวิตการพลิกเกมส์กลความคิดติดอาวุธให้กับสินค้า ด้วยการเพิ่มความแปลกใหม่ ไฮบริด ทั้งได้มาก คืนเร็ว คุ้มครองสูง จะถูกพูดถึงแบบแผ่ขยายวงออกไปอย่างรวดเร็วในยุคดิจิทัล ที่จะสร้างยอดขาย เพิ่มมูลค่าแบรนด์ ชนะแบบแลนด์สไลด์ในแต่ละผลิตภัณฑ์กันให้เห็นได้อย่างรวดเร็ว

วันนี้คอลัมภ์ i TALK เปิดตัวครั้งแรกกับการสนทนากับ “อิฎฐ์ อภิรักษ์ติวงศ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานพัฒนาองค์กร หรือ CCDO  บริษัทพรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) เพื่อฟังเรื่องราวการปรับตัวในยุคการแข่งขันที่ไม่เคยหยุดนิ่งของตลาดประกันชีวิต ตั้งแต่การขายประกันผ่านออนไลน์ กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย สินค้าที่เปลี่ยนไปตามไลฟ์สไตล์ ไปถึงสังคมที่ใครๆ ก็เข้าถึงข้อมูลได้

สายคาเฟ่ คลิ๊กสนั่น ดันดิจิทัลยืน 1

“CCDO อิฎฐ์” กล่าวว่า ช่องทางดิจิทัล โต 10 เท่าจากปีที่แล้ว ขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ในตลาด อิงจากตัวเลขที่สมาคมประกันชีวิตไทยรายงานงวด 8 เดือน เป็นช่องทางที่เพิ่งเริ่มแต่เติบโตอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่เดือนมีนาคม และยืนอันดับ 1 มาตลอด ทำให้เห็นว่าคนไทยมีความสนใจซื้อประกันออนไลน์กันมากขึ้น ถ้ามีสินค้าที่ถูกใจ ความคุ้มครองเข้าใจง่าย และมีโปรโมชั่นดีๆ

จากตัวเลขสมาคมประกันชีวิตไทย พบว่า งวด 8 เดือนแรกปี 2566 บริษัทพรูเด็นเชียลฯ มีเบี้ยประกันรับรวม 21,334.64 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,067.64 ล้านบาท แยกเป็นเบี้ยรายใหม่ 4,541.88 ล้านบาท ใกล้เคียงกับงวดเดียวกันในปีที่ผ่านมา เบี้ยประกันชำระครั้งเดียว 3,300.78 ล้านบาท ใกล้เคียงกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา เบี้ยต่ออายุหรือลูกค้าเก่า 13,491.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,068.99 ล้านบาทเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ในส่วนของเบี้ยใหม่ที่ขายผ่านช่องทางดิจิทัล มี 78.27 ล้านบาท สูงที่สุดในอุตสาหกรรม

“CCDO อิฎฐ์” กล่าวว่า แบบประกันที่ขายผ่านช่องทางขายผ่านดิจิทัล มี 2 แบบ คือ สะสมทรัพย์ ปัจจุบันมีโปรโมชั่น 10/10 ลดเบี้ย 10% ถือว่ามาแรงมาก ประกันแบบชั่วระยะเวลา (Term Life)หรือ เทอมไลฟ์ และประกันสุขภาพ

คนคิดว่าคนไทยไม่ซื้อเทอมไลฟ์ เพราะเมื่อครบสัญญาก็จบ ไม่มีเงินคืน แต่ยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่ชอบเทอมไลฟ์ อยากซื้อและชอบซื้อกัน เพียงแต่ว่าในอดีตไม่ค่อยขายกันเพราะคนส่วนใหญ่ชอบซื้อแบบสะสมทรัพย์คือได้เงินคืนเมื่อครบสัญญา

ลูกค้าที่เข้ามาซื้อเทอมไลฟ์ ผ่านออนไลน์ อายุจะอยู่ในช่วง 30-40 ปี เป็นกลุ่มคนที่เริ่มมีความคิดที่เปลี่ยนไป มองภาพไม่เหมือนกับคนรุ่นเก่า เป็นกลุ่มที่ยอมจ่ายค่ากาแฟวันละ 200-300 บาทแบบไม่เสียดาย ที่ต้องการแบบประกันที่มีความคุ้มครองสูงๆโดยไม่ต้องได้เงินคืนเมื่อครบสัญญา เพราะแบบนี้เบี้ยจะต่ำมากเมื่อเทียบกับประกันชีวิตแบบอื่นๆ ซึ่งในตลาดมีให้เลือกน้อย ทางบริษัทจึงเลือกเข้ามาบริการกลุ่มนี้ ทำให้ลูกค้าเกิดความสบายใจ

ยกตัวอย่าง ซื้อความคุ้มครองชีวิตอย่างเดียว 10 ปี จ่ายเบี้ย 10 ปี และเมื่อครบสัญญาก็จบ ไม่มีเงินคืน ซึ่งเบี้ยต่ำความคุ้มครองสูง เช่น ชายอายุ 40 ปี ต้องการซื้อความคุ้มครองการเสียชีวิตทุกกรณี 1 ล้านบาท จ่ายเบี้ยปีละ 7,640 บาท ถ้าอายุน้อยลงมาเบี้ยก็ต่ำลงอีก

ข้อดีคือ สามารถซื้อสัญญาเพิ่มเติมได้ จะเลือกซื้อความคุ้มครองโรคมะเร็ง หรือ โรคร้ายแรง หรือ ชดเชยในกรณีนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล และจ่ายชดเชยให้ล่วงหน้าในกรณีที่คุณหมอวินิจฉัยว่าจะอยู่ได้ไม่เกิน 6 เดือน หรือ 3 เดือน โดยไม่ต้องรอให้เสียชีวิต ทำให้ลูกค้านำเงินก้อนนี้ไปทำให้ชีวิตมีความสุขที่สุด หรือเอาไปรักษาเพิ่มอถ้ารักษาหายบริษัทจะไม่เรียกเงินก้อนนั้นคืน และเบี้ยประกันชีวิตสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ด้วย

เหตุที่ขาย 3 แบบนี้ผ่านออนไลน์ เพราะมองเห็นว่าเป็นประกันพื้นฐานที่คนไทยควรจะมีติดตัวไว้ ทั้งแบบเทอมไลฟ์คุ้มครองสูง สุขภาพ มีแบบออมเพื่อสะสมความมั่งคั่ง และลดหย่อนภาษี ถ้าเลือกไม่ถูกว่าจะซื้อแบบใหน ให้เลือก 3 แบบ จะครอบคลุมความเสี่ยงในชีวิต

ลูกค้ารุ่นใหม่ชอบความว้าว ประกันไฮบริด ตอบโจทย์

“CCDO อิฎฐ์” กล่าวว่า ปัจจุบัน สินค้าที่ออกมาจะมีความเป็นไฮบริด (สายพันธ์ใหม่) ถึงจะสร้างความว้าวได้ และเข้าใจง่าย ใช้เวลาประมาณ 2 นาที ลูกค้าก็เข้าใจ ซึ่งแบบไฮบริดนี้ มีขายทั้งในธนาคาร ขายผ่านตัวแทน และดิจิทัล เมื่อมารวมกับสินค้าแบบดั้งเดิมที่มีอยู่ก็เพิ่มความหลากหลาย ครบครันตอบโจทย์ทุกรสนิยม และทำให้พอร์ตสินค้าของบริษัทมีความสมดุลมาก ทั้ง ประกันกลุ่ม ประกันสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถ ประกันชีวิต ยูนิตลิงค์ แบบคุ้มครองตลอดชีพ ประกันสะสมทรัพย์ ที่มีทั้งแบบมีปันผลและไม่มีปันผล

บางคนชอบยูนิตลิงค์ เพราะอยากดูพอร์ตการลงทุนเอง บางคนชอบแบบมีเงินปันผลที่ให้บริษัทจัดการให้ หรือบางคนชอบความมั่นคงที่ค้ำประกันผลตอบแทนหรือการันตีไปเลย ทางบริษัทก็มีทุกแบบ แล้วแต่รสนิยมและความสามารถในการรับความเสี่ยงได้ของลูกค้าแต่ละราย

ประกันไฮบริด ที่ขายดีมากในธนาคารทหารไทยธนชาต หรือ ทีทีบี ชื่อ ทีทีบี โกลบอล อินเด็กซ์ พรินซิเพิล โพรเทค 15/5 ถ้าขายผ่านตัวแทน ชื่อ “พรูสะสมทรัพย์ 15/5”(ชนิดมีเงินปันผล) คล้ายแบบที่มีเงินปันผล แต่มีส่วนในการรับผลตอบแทนจากกำไรจากการลงทุน และเหมือนยูนิต-ลิงค์ ในส่วนของการลงทุน แต่รับประกันเงินต้น ยูนิตลิงค์ ไม่รับประกันเงินต้น ถ้าเทียบเป็นความเสี่ยง ก็จะเสี่ยงมากกว่าประกันแบบมีเงินปันผล แต่จะเสี่ยงน้อยกว่าแบบยูนิต-ลิงค์ มาก

เป็นแบบที่นำเบี้ยประกันชีวิต ไปลงทุนผ่านดัชนี Eastspring Global Diversified Muti Asset Index กรณีกองทุนติดลบ บริษัทรับประกันว่าเงินต้นไม่หาย แต่ถ้ากองทุนมีกำไร จะนำมาแบ่งกับลูกค้าฝ่ายละครึ่ง คือ 50:50 ถ้าครบสัญญา 15 ปีแล้วกองทุนที่ลงทุนไว้ติดลบ ลูกค้าจะได้รับเงินต้นเต็มจำนวนและมีของแถมเป็นดอกเบี้ยอีกเล็กน้อย

อาจจะสงสัยว่าทำไมต้องไปลงทุนผ่านดัชนีนี้ ก็เพราะ Eastspring เป็นสถาบันการเงินและการลงทุนชั้นนำของโลกและเป็นบริษัทในเครือพรูเด็นเชียล ถือว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ที่ดูแลเงินลงทุนของพรูเด็นเชียลทั่วโลก มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดพอร์ตแบบกระจายความเสี่ยงและลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย

888 ที่เดียวในไทย 

“CCDO อิฎฐ์” กล่าวต่อว่า อีกแบบหนึ่งที่เป็นไฮบริดและขายดีตลอดกาล ทั้งผ่านธนาคาร และ ตัวแทน เพียงแต่ชื่อต่างกันไป ถ้าอยู่ในธนาคารทหารไทยธนชาต (ทีทีบี) ชื่อ ทีทีบี เดอะ เทรเชอร์ ถ้าอยู่ในธนาคารยูโอบี ชื่อ พรูอินฟินีตี้ 888 แต่ทุกอย่างเหมือนกันหมด คือ 888 จ่ายเบี้ย 8 ปี คุ้มครองถึงอายุ 88 มีเงินคืน 8% ทุกปี

หากเสียชีวิต ทุนประกันจะเพิ่มขึ้นจาก 100% เป็น 800% ในปีที่ 8 ถ้าเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุจะให้เพิ่มขึ้นอีก 8 เท่า ซึ่งเท่ากับ 64 เท่าของทุนประกันภัยเริ่มต้น ขายดีในกลุ่มของอาม่า อากง ซื้อให้หลาน เพราะอยากดูแลหลานไปตลอด เป็นมรดกที่ไม่ธรรมดา เพราะหลานส่งต่อให้ลูกของหลานได้ด้วย เช่น หลานเกิดเหตุไม่คาดฝันจากอุบัติเหตุจะได้ 64 เท่าของทุนประกันเริ่มต้น ยกตัวอย่างทุนประกันภัย 1 ล้านบาท จะได้ 64 ล้านบาท ซึ่งบริษัทมีการจ่ายสินไหมทดแทนไปแล้ว

แบบประกันนี้ ลูกค้าสามารถซื้อความคุ้มครองได้สูงสุดประมาณ 300 กว่าล้านบาท ซึ่งมีเพียงบริษัทพรูเด็นเชียลฯ เท่านั้นที่ให้ความคุ้มครองสูงสุด โดยมีคำถามสุขภาพ 1 คำถาม คือต้องไม่เป็นโรคร้ายแรง

สำหรับ ช่องทางตัวตัวแทนในปัจจุบัน จะถูกวางไว้ให้ขายสินค้าที่มีความคุ้มครองระยะยาว คือ กลุ่มคุ้มครองตลอดชีพคู่กับประกันสุขภาพ ถ้าเป็นแบบสะสมทรัพย์ จะมีแบบคุ้มครอง 20- 30 ปี เพราะตัวแทนมีข้อได้เปรียบตรงที่สามารถใช้เวลาเต็มที่ในการอธิบายประโยชน์ของประกันชีวิต พูดถึงความคุ้มครองอย่างละเอียดให้กับลูกค้าเข้าใจ โดยประกันชีวิตที่คุ้มครองตลอดชีพ ถือว่าเป็นสินค้าที่เข้าใจง่าย แต่การพิจารณารับประกันภัยยาก จึงต้องใช้เวลาในการอธิบายให้ครอบคลุม ทั้งเรื่องความคุ้มครอง เรื่องสุขภาพ มีเรื่องการตรวจสุขภาพ เรื่องของการเปิดเผยโรคต่างๆ เพื่อช่วยให้ลูกค้ามีความคุ้มครองที่เพียงพอกับความเสี่ยง ซึ่งเป็นปัญหาของคนไทยในปัจจุบันที่ยังมีความคุ้มครองไม่เพียงพอกับความเสี่ยง

“เดอะ แบก”ตลาดใหญ่

“CCDO อิฎฐ์” กล่าวว่า ในแต่ละบริษัทจะมีมุมมองเรื่องของตลาดแตกต่างกันไป เช่น ถ้าพูดถึงลูกค้ากลุ่มหัวหน้าครอบครัว จะหมายถึง พ่อ แม่ ถ้าพูดถึงครอบครัว ก็จะหมายถึงพ่อ แม่ ลูก

สำหรับ บริษัทมุ่งไปที่ลูกค้ากลุ่ม “เดอะ แบก” คือ ใครก็ตามที่มีภาระเลี้ยงดูครอบครัว อาจจะเป็นน้า เป็นป้า เป็นกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศ ที่ไม่มีลูก แต่ต้องเลี้ยงดูครอบครัว ถือว่าเป็น “เดอะ แบก” ซึ่งมีโอกาสทางการตลาดสูงมาก เพราะในยุคปัจจุบันคนนิยมอยู่เป็นโสด แต่ต้องดูแลครอบครัว และต้องดูแลตัวเองด้วย จึงต้องหาช่องทางและทางเลือก(Solution) ในการเข้าไปช่วยให้ “เดอะแบก” ลดความกังวลทั้งในกรณีที่จากไปก่อนเวลาอันควร และเตรียมตัวสำหรับเกษียณควบคู่กัน

Solution ในการช่วยให้ “เดอะ แบก” เตรียมตัวเกษียณ ไม่ได้มองแค่ต้องซื้อประกันชีวิตเพียงอย่างเดียว แต่จะมองให้ครอบคลุมไปถึงผลิตภัณฑ์การเงินอื่นๆ ด้วย เพราะการที่มีบลจ.อีสท์สปริงเป็นลูกพี่ลูกน้องอยู่ ทำให้มีทางเลือกเพิ่มขึ้น

รวมไปถึงการดูแลคนวัยเกษียณ หรือกลุ่มสูงอายุ ที่มีเงินออม ด้วยการหาคำตอบว่าควรจะนำเงินออกมาใช้ปีละเท่าไหร่ดี ตรงนี้ได้ทำงานร่วมกับ บลจ.อีสท์สปริง ที่เก่งมากในเรื่องของการลงทุน

ในเบื้องต้น ได้คำตอบที่เป็นตัวเลขมหัศจรรย์ หรือ เมจิคนัมเบอร์ อยู่ตัวหนึ่ง คือ 4% ควรนำเงินออกมาใช้ปีละไม่เกิน 4% ของพอร์ต เพื่อที่จะให้เงินออมหลังเกษียณมีพอใช้จนบั้นปลายชีวิต

4% มาจากการประมาณการณ์ความเป็นไปได้ว่าพอร์ตการลงทุนระยะยาวของลูกค้าจะได้ผลตอบแทนประมาณ 4% ต่อปี โดยอิงจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลอายุ 15 ปี ก็ได้ผลตอบแทนกว่า 3% ค่อนไปปลายๆ แล้ว ผสมกับหุ้นปันผล มีกองทุนต่างประเทศอย่างละนิด ถือว่าความเสี่ยงอยู่ในระดับที่รับได้ จึงเป็นที่มาของเมจิคนัมเบอร์ที่ 4%

เดินหน้า ESG เด็ก ยุคเกิดน้อย ลูกแพง

“CCDO อิฎฐ์” สังคมสูงวัยเกิดจากการที่คนมีลูกน้อย ซึ่งหลายคนอาจมองว่าเป็นปัญหา แต่ทางบริษัทมองว่าเป็นโอกาส เพราะความที่คนรุ่นใหม่นิยมมีลูกน้อย ทำให้ทุ่มเทกับลูกเต็มที่ จึงมักพูดกันว่าสมัยนี้ “ลูกแพง” ผู้ปกครองจะทุ่มเทกับลูกเต็มที่ ทั้งเรื่อง อาหาร ค่าเรียน การดูแลด้านสุขภาพ ใส่ใจ ใส่เงินกับลูกเต็มที่เพื่อให้ลูกเติบโตอย่างมีคุณภาพ และใส่ใจในการดูแลตัวเองเพิ่มขึ้นด้วย รวมถึงการมองหาหลักประกันและการป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นกับลูกและตัวเองด้วย

ขณะที่ ความรู้ความเข้าใจทางการเงินของคนไทยต่ำเมื่อเทียกับประเทศในแถบ OECD เช่น มีการสำรวจด้วยคำถามคนวัยใกล้เกษียณว่าเมื่อเกษียณมี Replacement Rate อยู่ที่เท่าไหร่ ตอบกันไม่ได้ เพราะไม่มีการวางแผนทางการเงินเพื่อการเกษียณ เป็นโอกาสในการเข้าไปให้ความรู้ด้านการวางแผนทางการเงินเพิ่มขึ้น

Replacement Rate หมายถึง รายได้หลังเกษียณคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของเงินที่หาได้ก่อนเกษียณ และถ้าอยากมีไลฟ์สไตล์เหมือนตอนทำงานอยู่ จะต้องมีเงินใช้อย่างน้อย 75-80% ของรายได้ต่อเดือนก่อนเกษียณ แต่ถ้าลดไลฟ์สไตล์ลง ลดกิจกรรมหลายๆ อย่างลง Replacement Rate อาจจะเหลือ 65-70%

บริษัท ได้ร่วมกับ องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย เริ่มปูทางการสร้างความรู้ทางการเงินกับเด็ก 2 วัย คือปฐมวัย(Early Childhood Development:ECD) 0-6 ขวบ ผ่านพ่อแม่ ภายใต้แคมเปญ “เลี้ยงถูก ลูกดี”เด็กวัยนี้ เป็นช่วงวัยสำคัญที่พร้อมเปิดรับการเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวได้อย่างดีที่สุด ซึ่งทุกอย่างที่เขาได้เรียนรู้และประสบการณ์ที่ได้รับนั้นจะส่งผลต่อเด็กเมื่อเติบโตขึ้นได้

ซึ่งได้รับความร่วมมือดี เพราะพ่อแม่ อยากให้ลูกเติบโตอย่างมีคุณภาพ ให้ความรู้เรื่องพัฒนาการทางสมอง อาหาร สุขภาพ อยู่ในสิ่งแวดล้อมดี และการตอบรับที่ดี ซึ่งการตอบรับดีนี่สำคัญมาก

ปัจจุบันด้วยความที่พ่อแม่เลี้ยงมีลูกน้อย ทำให้เลี้ยงลูกดีมาก มีอาหารดีๆ ให้กิน มีคอนโดหรูให้อยู่ มีเกมส์ดีๆ ให้เล่น แต่ไม่คุยกับลูก พอถามลูก ลูกก็ไม่ตอบ จำเป็นที่จะต้องทำให้เด็กวัยนี้มีการโต้ตอบ และควรตั้งคำถามแบบปลายเปิดให้ลูกค้าแสดงความคิดเห็นออกมา

ทางบริษัทฯมีการสนับสนุนทุนให้กับทางยูนิเซฟ ทำการวิจัยเกี่ยวกับ ECD หลาย 10 ล้านบาท

สำหรับเด็กวัย 6-12 ปี เริ่มโตออกไปใช้ชีวิตในโรงเรียน มีโครงการชะชิ้ง ให้ความรู้ทางการเงินผ่านตัวการ์ตูนและกิจกรรม โดยมีคำขวัญอยู่ว่า earn(หาเงิน) save(เก็บเงิน) spend(ใช้) donate(แบ่งปัน) จะเห็นว่าเก็บเงินมาก่อนใช้เงิน ถ้าใช้ไม่หมดแล้วก็แบ่งปัน

ปัจจุบัน ได้ปูพื้นฐานความรู้ทางการเงินให้กับเด็กไทยวัย 6-12 ขวบมาแล้วมากกว่า 1 แสนคน

การปูพื้นฐานความรู้ทางการเงิน เป็นการสร้างความยั่งยืนให้กับสังคมและบริษัทในระยะยาว ตามแนวทางการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน ( ESG)ที่เมื่อทำแล้ว สังคมก็ได้ บริษัทก็ได้ เมื่อเด็กสุขภาพดี มีครอบครัวที่ดี เด็กจะเติบโตเป็นพลเมืองที่ดี เข้าใจเรื่องการหาเงิน เก็บเงิน ใช้จ่าย และแบ่งปัน เมื่อคิดถึงเรื่องเก็บเงินจะทำให้กลับมาใช้บริการกับบริษัท หรือนึกถึงการทำประกันชีวิต

การที่สังคมไทย มีลูกน้อย ทางบริษัทก็เข้าไปช่วยผ่านโครงการ ECD เพื่อให้เด็กเติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพ ส่วนเรื่องการวางแผนการเงินที่ยังไม่ดี เพราะความเข้าใจยังน้อย ก็จะเริ่มให้ความรู้มากขึ้น และปี 2567 จะให้ความรู้ผ่านเพจของบริษัทเพิ่มขึ้นอีก

เกาะติดสังคม Democratization

จากการที่สังคมเข้าสู่ยุค Democratization หรือการมีความ”เท่าเทียมกัน”เรื่องการเข้าถึงข้อมูล ทำให้ต้องให้ความสำคัญกับเสียงสะท้อนเกี่ยวกับบริษัทอย่างใกล้ชิด ที่ต้องคอยติดตามหรือมอนิเตอร์ ฟังเสียงสังคมอยู่ตลอดเวลา และต้องปรับปรุงตัวเองในทุกด้านให้ทันกับความต้องการของลูกค้า ถ้าดูแลลูกค้าแบบไม่ถูกต้อง จะถูกประชาชนโจมตีอย่างแน่นอน

การฟังเสียงสังคม จะทำผ่านการดู Net Promoter Score (NPS) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ศึกษาประสบการณ์ของลูกค้าว่ามีความพึงพอใจไหม และระดับความพอใจนั้นถึงขนาดจะแนะนำบริษัทให้กับเพื่อนๆ หรือไม่

ปีที่ผ่านมา ทางบริษัทที่ปรึกษาระดับโลก คือ เคพีเอ็มจี อินเตอร์เนชั่นแนล ทางบริษัทฯได้คะแนนมาอันดับ 1 นั่นหมายความว่ามีลูกค้าที่เป็นแฟนพันธุ์แท้คอยดูแลและปกป้องบริษัท

จากสมัยก่อน การจะเข้าถึงข้อมูลได้ ต้องเป็นคนที่มีความรู้มากๆ แต่ปัจจุบันใครๆ ก็เข้าถึงข้อมูลได้ เพราะสังคมจะเป็นคนให้ข้อมูลจึงต้องฟังเสียงสังคม

ทั้งนี้ เพราะพรูเด็นเชียล  “เรารับฟัง เพื่อเข้ำใจ และลงมือทำ” คือหัวใจสำคัญในการทำงานของเรา ที่มุ่งทำความเข้าใจความรู้สึก ความต้องการ และเป้าหมายของลูกค้าเสมอ