ตลท.หวังผลเงินลงทุนใหม่เข้าไทย หลังจบเลือกตั้งสหรัฐฯ-ยันกำไร Q3 ยังดี

HoonSmart.com>>”ทรัมป์”ชนะ ผงาดประธานาธิบดีสหรัฐคนที่  47 ตลาดหลักทรัพย์ฯ หวังผลเกิดการย้ายฐานผลิตมาไทย ในกลุ่มเทคโนโลยี พลังงานสะอาด คาดกำไรบจ. Q3 สูงกว่า 2 ไตรมาสแรก เตือนเลือกหุ้นให้มากขึ้นหลังราคาขึ้นทั้งตลาด 2 เดือนติด ต.ค.ยังบวกติด 1 ใน 3 รองจากญี่ปุ่น ไต้หวัน ชี้เป้าอุตฯเฮลท์แคร์ ท่องเที่ยว กลุ่มที่มุ่งสู่ความยั่งยืนยังไปได้ดี กังวลราคาน้ำมัน ค่าเงินผันผวน อาจส่งผลท่องเที่ยว แหล่งทำรายได้ 1 ใน 7 ของจีดีพี 

นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) หาก โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง คาดว่าจะเกิดการย้ายฐานการผลิตเข้ามาในเอเชีย และไทยจะเป็นหนึ่งในประเทศที่น่าสนใจ โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี และพลังงานสะอาด ที่ไทยถือว่ามีความได้เปรียบในเรื่องการที่รัฐบาลมีการส่งเสริมที่ชัดเจน

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า คาดว่ากำไรบริษัทจดทะเบียนไทยในไตรมาส 3 จะดีกว่า 2 ไตรมาสแรก เมื่อดูจากบริษัทที่เริ่มทยอยประกาศออกมาก่อนหน้านี้ จะเป็นแรงดึงดูดเม็ดเงินลงทุนเข้าสู่ตลาดทุนได้ต่อไป

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาค่อนข้างมากแล้ว โดยในเดือนต.ค.ที่ผ่านมาก็ยังเพิ่มขึ้นเป็นบวกได้เป็นอันดับ 3 รองจากญี่ปุ่นและไต้หวัน ในขณะที่ประเทศอื่นๆในเอเชียติดลบ ซึ่งเป็นผลมาจากนักลงทุนมีความกังวลว่าอาจจะส่งผลให้เกิด สงครามการค้าระหว่างสหรัฐ และจีน ซึ่งจะทำให้เงินเฟ้อสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น และ FED อาจชะลอการลดดอกเบี้ยส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่า ส่งผลให้เงินลงทุนต่างชาติเคลื่อนย้ายออกจากตลาดหุ้นเอเชีย

ความคืบหน้าล่าสุดของ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2567 ในวันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน โดยตัวแทนจากทั้งพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันได้ประกาศนโยบายหาเสียงที่แตกต่างกันในหลายๆ คะแนนความนิยมของ Trump พลิกกลับมาแซงหน้า Harris เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มีการเปลี่ยนตัวผู้สมัคร ถ้า Trump มา อาจจะเกิดการย้ายฐานการผลิตมาเอเชีย เพราะกลัวการกีดกันทางการค้า โดยเฉพาะจีนที่จะถูกขึ้นภาษี 60% ซึ่งไทยก็มีความได้เปรียบในหลายเรื่อง

การที่หุ้นไทยยังบวกได้ เกิดจากปัจจัยภายในประเทศเป็นหลัก อาทิ การเมืองไทยที่มีความชัดเจนมากขึ้นหลังมีการเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่ ตัวเลขเศรษฐกิจไทยที่รายงานออกมาเข้มแข็งกว่าที่นักวิเคราะห์คาด รวมถึงมาตรการที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนผ่านการเพิ่มเม็ดเงินลงทุนของผู้ลงทุนสถาบันในประเทศ ทำให้ผู้ลงทุนสถาบันในประเทศพลิกกลับมาซื้อหุ้นไทยในเดือนตุลาคมสูงสุดตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563

“กองทุนต่างๆ กลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น โดย สิ้นเดือนต.ค.เป็นเดือนแรกที่สัดส่วนสถาบันเพิ่มขึ้นมาอยู่ระดับ 10% นั่นคือมีรายย่อยส่วนหนึ่งมีการซื้อหุ้นผ่านกองทุนรวมเพิ่มขึ้นด้วย”ดร.ศรพล กล่าว

นอกจากนั้น คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี

อย่างไรก็ดี SET Index ที่ปรับเพิ่มขึ้น 2 เดือนต่อเนื่อง ขณะที่ประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนในอีก 12 เดือนข้างหน้าถูกนักวิเคราะห์ปรับลดลง ทำให้ Valuation ในตลาดหุ้นไทยค่อนข้างตึงตัว

“ราคาหุ้นขึ้นมาทั้งตลาด นับจากนี้ไปการลงทุน ต้องเลือกมากขึ้น เลือกหุ้น เลือกอุตสาหกรรมที่ยังมีการเติบโตแข็งแกร่ง กลุ่มเฮลท์แคร์ ท่องเที่ยว และหุ้นที่มีผลประกอบการดี ซึ่งคาดว่าไตรมาส 3 นี้กำไรของบริษัทจดทะเบียน จะออกมาดีกว่า 2 ไตรมาสแรก และถ้าเทียบราคาหุ้นไทยกับประเทศในภูมิภาคนี้ ราคาหุ้นบ้านเรายังขึ้นมาน้อยกว่า ในแง่ของ Valuation ไทยยังเป็นตลาดที่น่าสนใจ”ดร.ศรพล กล่าว

ดร.ศรพล กล่าวว่า สิ่งที่น่ากังวลคือ ราคาน้ำมัน หากสงครามยืดเยื้อจะทำให้ราคาเพิ่มขึ้นได้ และค่าเงินบาทที่มีความผันผวนแรงและเร็ว หากกลับไปแข็งค่าอีกจะทำให้มีผลต่อการท่องเที่ยว ที่เป็นอุตสาหกรรมทำรายได้เข้าประเทศ มีขนาดใหญ่คิดเป็น 1 ใน 7 ของประเทศ โดยราคาน้ำมันและค่าเงิน จะมีผลกระทบต่อรายได้บริษัทจดทะเบียน และจีดีพีของไทย เพราะในตลาดหุ้นไทยกลุ่มพลังงานคิดเป็น 30% ของตลาด ด้านการส่งออกถือว่าดีกว่าที่คาดการณ์ไว้

SET ต.ค.ปิดสูงกว่าภูมิภาค

ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนตุลาคม SET Index ปิดที่ 1,466.04 จุด เพิ่มขึ้น 1.2% จากสิ้นเดือนกันยายน ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาค ทำให้เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2566 SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.5%

กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2566  มีเพียงกลุ่มเดียว ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี

มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 54,750 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.0% จากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 47,332 ล้านบาท ลดลง 14.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

มีบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน SET 3 หลักทรัพย์ ได้แก่ บริษัทปลูกผักเพราะรักแม่ (OKJ) บริษัทเมดีซ กรุ๊ป (MEDEZE) บริษัท ที.แมน ฟาร์มาซูติคอล (TMAN) และใน mai 1 หลักทรัพย์ ได้แก่ บริษัทไทย ออโต ทูลส์ แอนด์ ดาย (TATG)

Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2567 อยู่ที่ระดับ 16.1 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 12.9 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 17.8 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 13.7 เท่า

อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2567 อยู่ที่ระดับ 3.23% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.10%

ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX)

มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 509,144 สัญญา ลดลง 28.0% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ SET50 Index Futures และ Single Stock Futures และในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 478,270 สัญญา ลดลง 12.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures และ SET50 Index Futures