HoonSmart.com>>”พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรียลส์”(PMC) เคาะราคาขาย IPO 1.82 บาท/หุ้น เปิดจองซื้อ 29-30 ส.ค., 2 ก.ย. สำหรับผู้ถือหุ้นของ SELIC และนักลงทุนทั่วไป 3-5 ก.ย. และคาดเทรดในตลาด mai 11 ก.ย.นี้ หมวดธุรกิจสินค้าอุตสาหกรรม (INDUS) หลัง IPO จะทำให้ D/E ลดลงมาต่ำกว่า 1 เท่าจากปัจจุบันอยู่ที่ 2.01 เท่า ผู้บริหารมุ่งเป้าเป็นผู้นำธุรกิจผลิตและจำหน่ายสติ๊กเกอร์เปล่าในภูมิภาคอาเซียน โดยเล็งเพิ่มสัดส่วนขายในต่างประเทศไปยังเวียดนาม และอินโดนีเซีย พร้อมปรับเพิ่มสัดส่วนขายสินค้าที่ให้มาร์จิ้นสูง พวก Film และ Specialty
บริษัท พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรียลส์ (PMC) เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 115.72 ล้านหุ้น คิดเป็น 30% ของจํานวนหุ้นที่ออกและเรียกชําระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ ได้แต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ(ประเทศไทย) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น พร้อมด้วยผู้ร่วมจัดจำหน่ายอีก 5 ราย ประกอบด้วย บริษัท หลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย), บริษัทหลักทรัพย์ เอสบีไอ ไทย ออนไลน์, บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์, บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) และบริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่าย
นางรัชดา เกลียวปฏินนท์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ 2 บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ PMC เปิดเผยว่า ได้กำหนดราคาเสนอขาย IPO หุ้น PMC ที่หุ้นละ 1.82 บาท จะเปิดให้ผู้ถือหุ้นของ บริษัท ซีลิค คอร์พ (SELIC) ที่มีสิทธิได้รับการจัดสรรหุ้นของบริษัทฯ จำนวน 34,715,000 หุ้น ในช่วงระหว่างวันที่ 29-30 สิงหาคม, 2 กันยายน และนักลงทุนทั่วไปวันที่ 3-5 กันยายน 2567 นี้ และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 11 กันยายน 2567 ในหมวดธุรกิจสินค้าอุตสาหกรรม (INDUS)
สำหรับราคาหุ้นสามัญที่เสนอขายหุ้นละ 1.82 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (Trailing 12-month P/E Ratio) เท่ากับ 12.18 เท่าเมื่อเทียบกับกำไรสุทธิที่ 0.1494 บาทต่อหุ้น ซึ่งคำนวณจากกำไรสุทธิของบริษัทฯ ในช่วง 12 เดือนย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2566 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2567 ที่ 40.4 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทฯ ก่อนการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ ซึ่งเท่ากับ 270,000,000 หุ้น (Pre-IPO Dilution) และคิดเป็นอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น(P/E Ratio) เท่ากับ 17.40 เท่า เมื่อเทียบกับกำไรต่อหุ้นที่ 0.1046 บาท หากพิจารณากำไรสุทธิต่อหุ้นที่คำนวณจากจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ ซึ่งเท่ากับ 385,715,000 หุ้น (Post-IPO Dilution หรือ Fully Diluted)
ทั้งนี้ PMC พิจารณานำ P/E ของคู่เทียบในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในช่วงระยะเวลา 12 เดือน มาเป็นข้อมูลประกอบการเปรียบเทียบ
อย่างไรก็ดี PMC เดินหน้าจัดงานโรดโชว์ นำเสนอข้อมูลสรุปการเสนอขายหุ้น IPO ต่อนักลงทุนรายย่อย ชูปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของธุรกิจ โดยจุดเด่นของ PMC เป็นบริษัทชั้นนำด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของทีมผู้บริหารที่มาจาก SELIC มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจมากว่า 20 ปี และเป็นผู้ผลิตสติ๊กเกอร์รายใหญ่ลำดับที่ 5 ของประเทศไทย
โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถจำหน่ายสติ๊กเกอร์ได้รวมกว่า 57 ล้านตารางเมตร โดยเป็นการจำหน่ายสินค้าในประเทศประมาณร้อยละ 66.5 และอีกร้อยละ 33.5 เป็นการส่งออกสินค้าไปจำหน่ายในตลาดต่างประเทศ และมีฐานลูกค้าที่มีรายการค้าต่อเนื่อง (Active Customers) กว่า 700 ราย ประกอบกับการได้รับการรับรองมาตรฐานคุณภาพผลิตภัณฑ์จากองค์กรต่างๆ ในระดับสากล ส่งผลให้กลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทฯ ซึ่งได้แก่ กลุ่มธุรกิจโรงพิมพ์และผู้ผลิตฉลากสินค้า ให้ความไว้วางใจในคุณภาพสินค้า โดยผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ สามารถแข่งขันได้ทั้งในเรื่องคุณภาพสินค้าและความคุ้มค่าของราคา สนับสนุนให้ผลประกอบการมีความแข็งแกร่ง รักษาความสามารถในการทำกำไรได้ต่อเนื่อง และสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ได้ดี ภายหลังการ IPO ในครั้งนี้ มองว่าจะสนับสนุนโอกาสการเติบโตให้แก่บริษัทฯ ในอนาคต
น.ส.เจต์ จิณัท บุญบันดล ที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า หนี้ที่เกิดขึ้นจากการที่ SELIC เข้ามาซื้อกิจการ PMC จำนวน 500 ล้านบาท ทางบริษัทได้มีการจ่ายหนี้ 100 ล้านบาท/ปี ซึ่งกำลังจะหมดหนี้ก้อนนี้ในเดือนต.ค. 2567 ทำให้คาดว่าอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) จะลดลงมาอยู่ในระดับต่ำกว่า 1 เท่า จากปัจจุบันที่มี D/E 2.01 เท่า โดยเงินที่ได้จากการระดมทุน IPO จะนำมาใช้หมุนเวียนในกิจการ และทำให้สภาพคล่องของ PMC ดีขึ้น
ทั้งนี้ มีมุมมอง PMC ในทางบวกจากที่มีการปรับเพิ่มสัดส่วนขายสินค้าที่ให้มาร์จิ้นสูง พวก Film และ Specialty มีความชัดเจน, มีการปรับเพิ่มสัดส่วนขายในต่างประเทศ ทำให้ช่วยในเรื่องสภาพคล่อง และสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายเอก สุวัฒนพิมพ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรียลส์ (PMC) กล่าวว่าการเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้ จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนจำนวนประมาณ 210,601,300 บาท (หลังหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง) เพื่อใช้ลงทุนในสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับสายการผลิตใหม่ และชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน รวมถึงลงทุนขยายธุรกิจของบริษัทฯ ซึ่งรวมถึงการขยายศูนย์กระจายสินค้าในประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน เช่น อินโดนีเซีย และเวียดนาม สนับสนุนให้ PMC ก้าวสู่การเป็นผู้นำธุรกิจผลิตและจำหน่ายสติ๊กเกอร์เปล่าในภูมิภาคอาเซียน
ปัจจุบัน PMC เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สติ๊กเกอร์ (Sticker) หรือฉลากกาว (Self-Adhesive Label) รายใหญ่ของประเทศ ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่ สติ๊กเกอร์กระดาษ สติ๊กเกอร์ฟิล์ม และสติ๊กเกอร์ชนิดพิเศษ โดยจัดจำหน่ายสติ๊กเกอร์ให้แก่ลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศผ่านการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อย 2 แห่ง ได้แก่ PMC Label Materials PTE., Ltd. หรือ “PMCS” ในประเทศสิงคโปร์ และ PMC Label Materials (Malaysia) SDN. BHD. หรือ “PMCM” ในประเทศมาเลเซีย ในงวดครึ่งปีแรกมีสัดส่วนการจำหน่ายสินค้าในประเทศประมาณร้อยละ 70 ส่วนอีกร้อยละ 30 เป็นการจำหน่ายให้แก่ลูกค้าในต่างประเทศ ซึ่งมีกว่า 15 ประเทศทั่วโลก ฐานลูกค้าหลักอยู่ในประเทศไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย และเวียดนาม
นอกจากนี้ PMC มีโรงงานผลิตสินค้า 1 แห่ง ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์และการพิมพ์ จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งอยู่ระหว่างการลงทุนขยายกำลังการผลิต เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตสติ๊กเกอร์อีก 110 ล้านตารางเมตรต่อปี จากปัจจุบันกำลังการผลิตสติ๊กเกอร์อยู่ที่ 75 ล้านตารางเมตรต่อปี โดยสายการผลิตใหม่อยู่ระหว่างการนำเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 4/2567 เป็นต้นไป ภายหลังจากที่สายการผลิตใหม่ติดตั้งแล้วเสร็จ บริษัทฯ จะมีกำลังการผลิตสติ๊กเกอร์รวมทั้งสิ้น 185 ล้านตารางเมตรต่อปี ซึ่งถือเป็นกำลังการผลิตที่ใหญ่ที่สุดเป็นลำดับที่ 3 ของผู้ประกอบการในประเทศไทย ช่วยปลดล็อคศักยภาพการผลิต รองรับการขยายฐานลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ พร้อมที่จะก้าวสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจผลิตและจำหน่ายฉลากกาวในภูมิภาคอาเซียนต่อไป
โดย PMC เป็นบริษัทย่อยในสัดส่วนร้อยละ 100 ของ SELIC ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ และเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายกาวอุตสาหกรรมชั้นนำของประเทศ โดย PMC ถือเป็นแกนหลัก (Flagship Company) ในกลุ่ม SELIC ที่ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายสติ๊กเกอร์เปล่า ซึ่งเป็นวัตถุดิบต้นน้ำสำหรับการผลิตฉลากสินค้าและฉลากบรรจุภัณฑ์ อีกทั้งยังสามารถต่อยอดการใช้งานได้ในอีกหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น สติ๊กเกอร์บาร์โค้ด (Barcode) สติ๊กเกอร์ติดกระเป๋าเดินทาง (Luggage Tag) และฝาบิดบรรจุภัณฑ์ (Sealing Sticker) เป็นต้น
สำหรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2567 คือ บริษัท ซีลิค คอร์พ ถือหุ้นใหญ่อยู่ที่ 269,999,600 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนเกือบร้อยละ 100 และภายหลัง IPO สัดส่วนการถือหุ้นจะอยู่ที่ร้อยละ 70 โดยผู้ถือหุ้นของ SELIC ที่มีสิทธิได้รับการจัดสรรหุ้นของบริษัทฯ จำนวน 34,715,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 9% ในราคาเดียวกันกับราคาที่เสนอขายต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ซึ่งมีจำนวน 81,000,000 หุ้น สัดส่วน 21% ราคาเดียวกันกับราคาที่เสนอขายต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) นั้น
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 2567 รายได้จากการขายอยู่ที่ 432.1 ล้านบาท กำไรสุทธิ 24 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนรายได้จากการขายอยู่ที่ 420.6 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 1 ล้านบาท โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตามราคาวัตถุดิบและอัตราค่าระวางเรือที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องและทรงตัวอยู่ในระดับต่ำตลอดช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 ประกอบกับความสามารถของบริษัทฯ ในการเพิ่มสัดส่วนการขายผลิตภัณฑ์กลุ่ม Premium ซึ่งได้แก่ สติ๊กเกอร์ฟิล์มและสติ๊กเกอร์ชนิดพิเศษได้ตามเป้าหมาย ขณะที่ ภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2566 มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 824.7 ล้านบาท กำไรสุทธิ 17.4 ล้านบาท