TISCO ประคองกำไร 1,854 ล้านบ. สินเชื่อโต-ค่าฟีร่วง Q2/66

HoonSmart.com>>”กลุ่มทิสโก้”(TISCO) ประเดิมเปิดผลงานไม่จ๊าบ  ไตรมาส 2/66 กำไรสุทธิ1,853.89 ล้านบาท ครึ่งปี  3,646 ล้านบาท สินเชื่อโต 5.2% หนุนรายได้ดอกเบี้ยสูงขึ้น 8.7% ส่วนค่าธรรมเนียมลดลง 3.5% ค่าใช้จ่ายพุ่ง 10.6% NPLs เพิ่มเล็กน้อย รุกตลาดสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภค สำรองหนี้สูญแข็งแกร่งที่ 224%

บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO) แจ้งผลประกอบการงวดไตรมาสที่ 2/2566   มีกำไรสุทธิ 1,853.89 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 2.32 บาท เพิ่มขึ้นเพียง 5.46 ล้านบาท หรือ 0.30% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,848.43 ล้านบาทหรือหุ้นละ 2.31 บาท รวม 6 เดือนแรกปีนี้มีกำไรทั้งสิ้น 3,646.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้นแค่ 2.55 ล้านบาท จากที่มีกำไรสุทธิ   3,643.92 ล้านบาทในช่วงเดียวกันปีก่อน โดยมีกำไรต่อหุ้นเท่ากัน 4.55 บาท

นายศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ เปิดเผยว่า ไตรมาสที่ 2/2566 บริษัทมีรายได้จากการดำเนินงานดีขึ้น 4.1% จากการเติบโตของธุรกิจการให้สินเชื่อ ส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 10.1%  แม้ว่าต้นทุนทางการเงินจะเพิ่มสูงขึ้นกว่า 91.8% ตามทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นในตลาด ในขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลง 8.8% เนื่องมาจากความผันผวนและซบเซาของตลาดทุนเป็นหลัก นอกจากนี้ ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจธนาคารพาณิชย์ยังอ่อนตัวลงเล็กน้อย

ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานปรับตัวเพิ่มขึ้น 12.2% ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการลงทุนตามแผนการเติบโตในระยะยาว ในขณะที่ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) อยู่ในระดับต่ำที่ 0.1% ของยอดสินเชื่อเฉลี่ยตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจากช่วงโควิด-19 โดยบริษัทยังคงมีเงินสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตอยู่ในระดับสูง พร้อมรองรับต่อความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ด้วยอัตราส่วนเงินสำรองหนี้สูญต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Loan Loss Coverage Ratio) ที่ 224.0%

สำหรับผลประกอบการงวดครึ่งปีแรกของปี 2566 กำไรสุทธิทรงตัว  โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเติบโต 8.7% ตามการเติบโตของเงินให้สินเชื่อ ในขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลง 3.5%ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 10.6% จากค่าใช้จ่ายลงทุนต่างๆ  บริษัทมีอัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นเฉลี่ย (ROAE)  อยู่ที่ 17.6%

ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 เงินให้สินเชื่อมีจำนวน 230,494 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.2% จากสิ้นปี 2565 จากการขยายตัวของสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ สินเชื่อจำนำทะเบียน สินเชื่อเช่าซื้อรถมือสอง และสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ โดยสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งกว่า 26.5% ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ ส่วนสินเชื่อจำนำทะเบียนผ่านช่องทาง “สมหวัง เงินสั่งได้” เติบโตต่อเนื่อง 12.1% ตามการเปิดเครือข่ายสาขาที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) อยู่ที่ 2.2% ของสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากสิ้นปีก่อนหน้า ตามกลยุทธ์การขยายสินเชื่อไปในกลุ่มที่มีอัตราผลตอบแทนสูง โดยบริษัทยังคงดำเนินนโยบายการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์อย่างเข้มงวด และการบริหารความเสี่ยงอย่างรัดกุม

ธนาคารทิสโก้ยังคงรักษาระดับฐานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง โดยมีประมาณการอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) อยู่ที่ 23.0% สูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ำ 11.0% ที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย และมีอัตราเงินกองทุนชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 19.5% และ 3.6% ตามลำดับ

สำหรับในช่วงที่เหลือของปี 2566 คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวได้มากกว่าครึ่งปีแรก ทั้งปีนี้จะขยายตัวได้ราว 3.5-4% ด้วยแรงส่งหลักจากการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคครัวเรือนที่มีแนวโน้มเติบโตดีอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาลทำให้การลงทุนภาครัฐและการใช้จ่ายงบประมาณ ทั้งงบประจำและงบลงทุนต้องล่าช้าออกไป ทิศทางเศรษฐกิจโลกที่เปราะบาง ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ ตลอดจนการปรับเพิ่มของดอกเบี้ยอย่างเร็วแรงในตลาดโลกที่อาจก่อให้เกิด Unintended Consequences เป็นความเสี่ยงที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด ในขณะที่ราคาสินค้าและบริการที่ปรับตัวสูงขึ้นยังเป็นแรงกดดันต่อค่าครองชีพและความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือน ท่ามกลางภาวะหนี้โดยรวมอยู่ในระดับที่สูงเช่นในปัจจุบัน

“ กลุ่มทิสโก้ยังคงเดินหน้าสร้างโอกาสการเติบโตในธุรกิจที่เชี่ยวชาญ โดยมีตลาดหรือลูกค้ากลุ่มเป้าหมายชัดเจนเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจ และทันกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก รวมถึงร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนไทย ด้วยการเข้าไปช่วยคนไทยวางแผนทางการเงินอย่างจริงจังในทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยสร้างจุดร่วมของผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลายมาดูแลลูกค้า ครอบคลุมทั้งการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่รองรับสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ที่ตอบโจทย์ครบทั้ง Wealth Creation และ Wealth Protection การออกแบบบริการให้แก่ลูกค้ารายใหญ่แบบองค์รวม (Total Solutions) โดยเฉพาะในลูกค้ากลุ่มพลังงานและอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงการเร่งขยายสาขาสมหวัง เงินสั่งได้ เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงสินเชื่อในระบบแก่ชุมชนและธุรกิจรายย่อย ตามหลัก Responsible Lending และการแก้หนี้ภาคครัวเรือนอย่างยั่งยืนเพื่อไม่ให้เป็นหนี้เรื้อรัง (Persistent Debt) ผ่านการรวมหนี้ เพื่อลดภาระดอกเบี้ยให้แก่ลูกค้า เป็นต้น”