HoonSmart.com>> “บลจ.บัวหลวง” แจงทยอยขายหุ้น STARK หมดแล้วทั้ง 4 กองทุน ผนึกบลจ.รายอื่นๆ ดำเนินคดีในนาม “สมาคมบริษัทจัดการลงทุน” ในฐานะผู้ลงทุนสถาบัน ด้าน DSI จ่ออายัดทรัพย์โกงกว่า 100 ล้านบาท เรียก “ชนินทร์”-ผู้สอบบัญชีให้ข้อมูล ประเมินความเสียหายอาจสูงถึง 1 แสนล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บัวหลวง ออกแแถลงการณ์เมื่อวันที่ 27 มิ.ย.2566 ชี้แจงเพิ่มเติมการลงทุนในหุ้นบริษัท สตาร์คคอร์ปอเรชั่น (STARK) ว่า บลจ.บัวหลวงได้ทยอยขายหุ้น STARK ออกจากทุกกองทุนภายใต้การจัดการอย่างต่อเนื่องจนหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 20 มิ.ย.2566 บริษัทได้ขายหุ้น STARK จำนวน 42,858,700 หุ้น คิดเป็น 0.3196% คาดว่าจะได้รับเงินประมาณ 1.29-1.71 ล้านบาท หากใช้ราคาตลาด สูงสุดอยู่ที่ 0.04 บาท และปิดต่ำสุดที่ 0.03 บาท โดยคงเหลือจำนวน 628,068,200 หุ้นหรือ 4.684% ซึ่งราคาเคลื่อนไหวที่ 0.03-0.02 บาท คาดว่าการขายหุ้นล็อตนี้จะได้รับเงินไม่เกิน 20 ล้านบาท ล่าสุดวันที่ 28 มิ.ย. ราคาหุ้น STARK ปิดที่ 0.02 บาท คาดว่าจะไหลลงไปปิดที่ 0.01 บาทในวันสุดท้ายของการซื้อขาย (30 มิ.ย.) ก่อนที่จะใช้เวลานานในการดำเนินการแก้ไขวิกฤตการณ์ของบริษัท
นอกจากนี้บลจ.ต่างๆ ในนามบริษัทจัดการลงทุน ยังได้เริ่มหารือถึงแนวทางในการร่วมดำเนินคดีและเรียกร้องในฐานะผู้ลงทุนสถาบันแล้ว
ล่าสุดหุ้น STARK ปิดตลาด 27 มิ.ย.2566 อยู่ที่ 0.02 บาท ลดลง 0.01 บาท หรือ -33.33% มูลค่าการซื้อขาย 1.43 ล้านบาท
ขณะที่หุ้น STARK จะซื้อขายวันสุดท้ายในวันที่ 30 มิ.ย.2566 ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะขึ้นเครื่องหมาย SP (Suspension) เพื่อสั่งห้ามซื้อหรือขายหลักทรัพย์ STARK อีกครั้งตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.2566 ไปจนกว่าบริษัทจะสามารถดำเนินการแก้ไขเหตุเข้าข่ายอาจถูกเพิกถอนจากเหตุส่วนของผู้ถือหุ้นมีค่าน้อยกว่าศูนย์และดำเนินการให้บริษัทมีคุณสมบัติเพื่อกลับมาซื้อขายได้ตามปกติ
ด้าน พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เปิดเผยว่า จากกรณีที่ DSI รับ STARK เป็นคดีพิเศษ การสืบสวนเบื้องต้นมีมูลเชื่อว่ามีการกระทำผิดของกรรมการ หรือ ผู้บริหาร หรือบุคคลอื่นใด เกิดขึ้น ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งพฤติการณ์มีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความเชื่อมั่นในตลาดทุนและระบบเศรษฐกิจการคลังของประเทศ
จึงได้สั่งการให้คณะพนักงานสอบสวนดำเนินการยึดอายัดทรัพย์สินมูลค่ากว่า 100 ล้านบาทที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดฉ้อโกง STARK และจะเร่งพยายามติดตามทรัพย์สินที่เหลืออีกจำนวนมาก ซึ่งมูลค่าความเสียหายในครั้งนี้เบื้องต้นคาดว่าจะสูงถึง 35,000-50,000 ล้านบาท และมีความเป็นไปได้ที่จะทะยานไปสู่ 100,000 ล้านบาท
ที่ผ่านมาคณะพนักงานสอบสวนได้มีการเชิญพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องหลายรายเข้าให้ปากคำในฐานะพยานบ้างแล้ว อาทิ กรรมการและผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งกรรมการชุดเก่าและชุดใหม่ใน 4 บริษัทสำคัญ ได้แก่ บริษัท เฟ้ลปส์ ดอด์จ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) , บริษัท อดิสรสงขลา , บริษัท ไทย เคเบิ้ล อินเตอร์เนชั่นแนล และบริษัท เอเชีย แปซิฟิก ดริลลิ่ง เอ็นจิเนียริ่ง เนื่องจากเบื้องต้นพบว่าบุคคลเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำบัญชี และมีส่วนเกี่ยวข้องในบทบาทของการตัดสินใจ การเซ็นอนุมัติต่างๆ
พ.ต.ต.สุริยา กล่าวอีกว่า ขณะนี้ได้เร่งรัดขอเอกสารเพิ่มเติมจาก STARK และผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้พิจารณาในส่วนของพยานหลักฐานขนานไปกับคำให้การต่างๆ ทั้งเรื่องเส้นทางการเงิน เอกสารการจัดซื้อสินค้า เพื่อตรวจสอบว่ามีหลักฐานครบถ้วนสมบูรณ์ระดับใด หากได้ข้อมูลครบถ้วนแล้ว จากนั้นจะพิจารณาว่าผู้ที่กระทำผิดมีใครเกี่ยวข้องบ้าง หรือเกี่ยวข้องในระดับใด เพื่อออกหมายเรียกผู้ต้องหาต่อไป
สำหรับการเรียกนายชนินทร์ เย็นสุดใจ อดีตประธานกรรมการ STARK มาให้ข้อมูลนั้น พ.ต.ต.สุริยา กล่าวว่า เบื้องต้นได้ประสานไปยังเจ้าตัวเรียบร้อยแล้ว คาดว่าหากนายชนินทร์เข้าให้การก็คงจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี พร้อมกันนั้นก็ได้เรียกบริษัทผู้สอบบัญชีเข้ามาให้การในฐานะพยานเช่นเดียวกัน ทั้ง บริษัท ดีลอยท์ ทู้ช โธมัทสุ ไชยยศ (Deloitte) ในฐานะผู้สอบบัญชี และ บริษัท ไพร้ชวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส คอนซัลติ้ง(ประเทศไทย) (PwC) ในฐานะ Special Audit
“บริษัทเหล่านี้ได้พบเห็นการทุจริตและมีข้อเท็จจริงบางส่วน เราจึงต้องเรียกมาสอบถามถึงพฤติการณ์ต่างๆ เพื่อหาตัวผู้กระทำความผิดตัวจริงให้ได้ เพราะตนไม่อยากให้ใครหลุดรอดไป จำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงให้รอบด้าน อีกทั้งในกรณีที่มีผู้เสียหายมาร้องทุกข์กล่าวโทษบุคคล 3 รายก่อนหน้านี้ (อดีตประธานกรรมการบริษัท และลูกน้องของประธานกรรมการ) ผู้เสียหายก็ได้มอบพยานหลักฐานรวมถึงพฤติการณ์ต่างๆของผู้ที่ถูกกล่าวหาไว้ให้กับทางดีเอสไอเรียบร้อยแล้ว ได้เร่งให้คณะพนักงานสอบสวนทำเรื่องราวให้ชัดเจนภายในสองสัปดาห์ “อธิบดี DSI กล่าว
อ่านข่าว