จับตาแห่ขาย STARK หนีตาย บริษัทดิ้นหาเงิน 9 พันล.คืนหุ้นกู้

HoonSmart.com>>”สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK)” กล่อมผู้ถือหุ้นกู้ไม่สำเร็จ  2 รุ่นโหวตหุ้นกู้ถึงกำหนดชำระโดยพลัน  ส่วน 3 รุ่นยกเว้นเหตุผิดนัดให้ ทำให้หุ้นกู้ทั้ง 5 รุ่นมีโอกาสเข้าเกณฑ์ผิดนัดชำระหนี้ทั้งหมด บริษัทมีเวลา 30 วันชำระหนี้ เผย 5 รุ่นมีมูลค่ารวมประมาณ 9,198 ล้านบาท วิกฤตมาซ้ำเติมหุ้นที่จะเปิดซื้อขายชั่วคราว 1-30 มิ.ย. คาดวันแรกแห่ขายกันจ้าระหวั่น ราคาขึ้นลงได้ 100% เผย 12 สถาบันแห่ซื้อพีพีราคา 3.72 บาท เจ็บหนัก บางรายยอมตัดขายขาดทุนไปแล้ว

บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทยรายงานว่า วันที่ 31 พ.ค. 2566 บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK)  ได้จัดประชุมผู้ถือหุ้นกู้ จำนวน 5 รุ่น เนื่องจากการทำผิดเกณฑ์ทางการ ในการไม่ส่งงบการเงินประจำปี 2565 ถือว่าเป็นการผิดนัดชำระหนี้ทางเทคนิค (Technical default) โดยบริษัทขอให้พิจารณายกเว้นเหตุผิดนัด แต่ปรากฎว่า ผู้ถือหุ้นกู้ STARK239A และ STARK249A มีมติให้หนี้หุ้นกู้ถึงกำหนดชำระโดยพลัน ส่วน STARK242A, STARK245A, และ STARK255A มีมติยกเว้นเหตุผิดนัด

เนื่องจากหนี้หุ้นกู้ที่เกิด Technical default มีสัดส่วนเกินกว่า 3% ของส่วนของผู้ถือหุ้นจากงบ ทำให้มีโอกาสที่จะเกิด Cross Default ไปยังหุ้นกู้รุ่นอื่นๆ ด้วย

ทั้งนี้ STARK จะมีเวลา 30 วันในการชำระหนี้ ถ้าไม่จ่ายเงินคืนภายในที่กำหนด ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้จะใช้สิทธิในการเรียกเงินต้นคืน ทั้งนี้การฟ้องร้องอาจจะเป็นเรื่องของอนาคต ขึ้นอยู่กับการเจรจา นอกจากนี้หากจะยื่นเงื่อนไข ต้องรวมเสียงให้ได้ 25% แล้วแจ้งต่อผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ให้จัดประชุมพิจารณาเงื่อนไขการชำระ

สำหรับหุ้นกู้จำนวน 5 รุ่น มีมูลค่ารวม 9,198 ล้านบาท โดยมีผู้ถือหุ้นกู้จำนวน 4,500 ราย

ส่วนการเปิดซื้อขายหุ้น STARK เป็นการชั่วคราว ระหว่างวันที่ 1-30 มิ.ย.2566 นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะมีการแห่ขายหุ้นออกมามากในวันแรก ซึ่งราคาสามารถขึ้นสูงสุด(ซิลลิ่ง)-ลงต่ำสุดหรือฟลอร์ได้ 100% จากราคาปิดครั้งล่าสุดที่ 2.38 บาท ส่วน STARK-W1 ปิดที่ 0.16 บาท ทั้งนี้ราคาฟลอร์คือ ศูนย์บาท

ปัจจุบันนักลงทุนได้คีย์คำสั่งขายล่วงหน้าเข้าไปในระบบตลาดหลักทรัพย์แล้ว เพื่อเข้าคิวในการขายในลำดับต้นๆ  การตัดสินใจขายหุ้นออกไปก่อน  เนื่องจากนักลงทุนได้รับข้อมูลไม่ครบถ้วน โดยเฉพาะเรื่องผลการดำเนินงานปี 2565 ซึ่งบริษัทคาดว่าจะจัดส่งงบการเงินฉบับตรวจสอบพิเศษให้กับตลาดหลักทรัพย์ได้ภายในวันที่ 16 มิ.ย. 2566 คาดว่าจะประสบปัญหาขาดทุน พลิกจากงวด 9 เดือนแรกที่แจ้งตลาดหลักทรัพย์ว่ามีกำไรสุทธิ2,216.47 ล้านบาท ปี 2564 กำไรสุทธิ 2,783.11 ล้านบาท และ 1,608.66 ล้านบาทในปี 2563

ฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของ STARK พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ โดยคาดการณ์ไม่ถึง ส่งผลกระทบต่อนักลงทุนทุกราย โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบัน 12 รายที่เข้าไปซื้อหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง(พีพี) รวม 1,500 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 3.72 บาท มูลค่าทั้งสิ้น 5,580 ล้านบาท (ไม่หักค่าใช้จ่าย) แม้ว่านักลงทุนสถาบันบางรายได้ตัดสินใจขายทิ้ง ยอมขาดทุน ตั้งแต่บริษัทล้มดีลซื้อกิจการแล้วก็ตาม