ก.ล.ต.ลงโทษ 6 คนปั่นหุ้น PRINC สั่งปรับมากถึง 426.8 ล้านบาท

HoonSmart.com>>ก.ล.ต.ลงโทษทางแพ่ง  6 ราย คดีปั่นหุ้น”พริ้นซิเพิล แคปิตอล” (PRINC) สั่งปรับเป็นเงินสูงถึง 426,795,221 บาท ห้ามซื้อขายหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหาร หลังตรวจสอบพบการซื้อขายผิดปกติ 2 ช่วงระหว่างเดือนก.ค. 60 จนถึงเดือนมิ.ย. 61

รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยการดำเนินคดีด้วยมาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำความผิดรวม 6 ราย กรณีสร้างราคาหุ้น บริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล  (PRINC) โดยเรียกให้ชำระเงินรวม 426,795,221 บาท กำหนดระยะเวลาห้ามซื้อขายหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหาร

สำนักงาน ก.ล.ต.ได้รับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตรวจสอบเพิ่มเติมพบผู้กระทำความผิด 6 ราย ได้แก่ (1) นายสาธิต วิทยากร (2) นายศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ (3) นางสาวพัลลภา วิทยากร (4) นางพเยาว์ ชลาชีพ (5) นางสมปอง ศรีสุภรวงศ์ และ (6) นางสาวภีชญา กริ่มวงศ์รัตน์ ซึ่งมีความสัมพันธ์ระหว่างกัน ได้ส่งคำสั่งซื้อขายหุ้น PRINC ในลักษณะสร้างราคาหลักทรัพย์ในช่วงเวลา ระหว่างเดือนก.ค. 2560 จนถึงเดือนมิ.ย. 2561 ดังนี้

ช่วงเกิดเหตุที่ 1 ระหว่างวันที่ 25 ก.ค. 2560 ถึงวันที่ 17ม.ค.2561 ผู้กระทำความผิด 6 ราย ซึ่งมีความสัมพันธ์กันในทางส่วนตัว เส้นทางการเงิน ทางหุ้นหรือธุรกิจ หรือผ่านการเชื่อมโยงกับบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกัน ได้แก่ นายสาธิต นายศิริวัฒน์ นางสาวพัลลภา นางพเยาว์ นางสมปอง และนางสาวภีชญา ได้ร่วมกันโดยแบ่งหน้าที่กันทำในการส่งคำสั่งซื้อขายหุ้น PRINC ในลักษณะสร้างราคา ทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจผิดเกี่ยวกับราคาหรือปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ และส่งคำสั่งซื้อขายในลักษณะต่อเนื่องกัน โดยมุ่งหมายให้ราคาหรือปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ผิดไปจากสภาพปกติของตลาด เช่น ผลักดันราคาต่อเนื่อง สลับขายทำกำไรระหว่างวัน และครองคำสั่งเสนอซื้อ (Bid) ทำราคาปิด

ช่วงเกิดเหตุที่ 2 ระหว่างวันที่ 14 ก.พ. 2561 (ช่วงก่อนปิดตลาด หรือ pre – close) ถึงวันที่ 27 มิ.ย. 2561 ผู้กระทำความผิด 4 ราย ได้แก่ (1) นายสาธิต (2) นายศิริวัฒน์ (3) นางสาวพัลลภา (4) นางพเยาว์ ได้ร่วมกันส่งคำสั่งซื้อขายหุ้น PRINC ในลักษณะสร้างราคา โดยมีพฤติกรรมในทำนองเดียวกับช่วงเกิดเหตุที่ 1 ทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจผิดเกี่ยวกับราคาหรือปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ และส่งคำสั่งซื้อขายในลักษณะต่อเนื่องกัน โดยมุ่งหมายให้ราคาหรือ ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ในช่วงเวลาดังกล่าวผิดไปจากสภาพปกติของตลาด

การกระทำของบุคคลทั้ง 6 รายข้างต้นเป็นความผิดตามมาตรา 244/3(1)(2) ประกอบมาตรา 244/5 หรือมาตรา 244/6 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ) แล้วแต่กรณี ประกอบมาตรา 83 แห่งประมวลกฎหมายอาญา อีกกระทงหนึ่ง ซึ่งต้องระวางโทษตามมาตรา 296 มาตรา 296/1 มาตรา 296/2 และมาตรการลงโทษทางแพ่งตามมาตรา 317/4 และมาตรา 317/5 แห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกัน

ค.ม.พ. จึงมีมติให้นำมาตรการลงโทษทางแพ่งมาใช้บังคับกับผู้กระทำความผิดทั้ง 6 ราย โดยกำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่ง ดังนี้

(1) ให้นายสาธิต และนายศิริวัฒน์ ชำระค่าปรับทางแพ่ง และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด รายละ 1,052,733 บาท ห้ามนายสาธิตซื้อขายหลักทรัพย์หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้า 33.5 เดือน และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์ เป็นเวลา 67 เดือน

ส่วนนายศิริวัฒน์ ห้ามซื้อขายหลักทรัพย์หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เป็นเวลา 28 เดือน และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์ เป็นเวลา 56 เดือน

(2) ให้นางสาวพัลลภา นางพเยาว์ นางสมปอง และนางสาวภีชญา ชำระค่าปรับทางแพ่ง ชดใช้เงินในจำนวนเท่ากับผลประโยชน์ และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด จำนวน 287,245,797 บาท จำนวน 81,535,025 บาท จำนวน 3,133,013 บาท และจำนวน 52,775,920 บาท ตามลำดับ รวมถึงห้ามนางสาวพัลลภา นางพเยาว์ นางสมปอง และนางสาวภีชญา ซื้อขายหลักทรัพย์หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เป็นเวลา 36.5 เดือน 34 เดือน 17 เดือน และ 20 เดือน ตามลำดับ และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์ เป็นเวลา 73 เดือน 68 เดือน 34 เดือน และ 40 เดือน ตามลำดับ

มาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนดจะมีผลเมื่อผู้กระทำความผิดลงนามในบันทึกการยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนดหากผู้กระทำความผิดไม่ยินยอม ก.ล.ต. จะมีหนังสือขอให้พนักงานอัยการดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลแพ่งเพื่อกำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่งในอัตราสูงสุดที่กฎหมายบัญญัติ โดยไม่ต่ำกว่าอัตราที่ ค.ม.พ. กำหนด

ทั้งนี้ เงินค่าปรับทางแพ่งและเงินค่าชดใช้คืนผลประโยชน์ที่ได้รับหรือพึงได้รับจากการกระทำความผิดเป็นรายได้แผ่นดินที่นำส่งกระทรวงการคลัง