DELTA ดิ่ง! ผิดหวังกำไร 3.6 พันลบ.-สผ.โกย 19,281 ล้านบ. ITC คาด Q2 ฟื้น

HoonSmart.com>> บจ.ที่ทำธุรกิจ Real Sector ทยอยแจ้งผลงานไตรมาส 1/66 มีทั้งดีขึ้นและแย่กว่าที่คาด DELTA  มีกำไรสุทธิ 3,614 ล้านบาทต่ำกว่าที่คาดการณ์ ลดลง 13.8%จากไตรมาส 4/65  SCC ดีเกินคาด ยันไตรมาส 2 ใกล้เคียงไตรมาส 1 ส่วน ITC มีกำไรเพียง 425 ล้านบาท คาดไตรมาส 2 ดีขึ้น เดินหน้าลงทุน 2,100 ล้านบาทในปีนี้ SCCC กำไร 758 ล้านบาท ลดลง 5.5%  ส่วน PTTEP ฟาดกำไร 19,281 ล้านบาท พุ่งขึ้น 83 %  BH กำไรกระโดดขึ้น 118% เป็น 1,583 ล้านบาท รายได้-มาร์จิ้นเพิ่ม ด้านตลาดหุ้นกลับมาติดลบ 12.72 จุด เจอ DELTA ตัวเดียวฉุด 14 จุด

ธนาคารพาณิชย์ 10 แห่ง ประกาศกำไรไตรมาส1/2566 เป็นไปตามคาดและสูงกว่าคาดการณ์ ทำให้นักวิเคราะห์มีการปรับเพิ่มประมาณการกำไรและราคาเป้าหมาย รอบนี้ถึงคิวบริษัทจดทะเบียนที่ทำธุรกิจภาคเศรษฐกิจจริง ( Real Sector) ซึ่งได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่สูง ทั้งทางด้านอัตราดอกเบี้ยและราคาพลังงาน  รวมถึงความกังวลเรื่องเศรษฐกิจโลกถดถอย ทำให้ชะลอการลงทุนหรือเพิ่มความระมัดระวังในการใช้จ่าย รวมถึงสินค้าในสต๊อกยังมีอยู่สูง จึงไม่จำเป็นต้องสั่งซื้อสินค้าเพิ่ม ส่งผลกระทบต่อ ยอดขาย รายได้ และอัตรากำไร  ส่วนบริษัทที่ปรับตัวได้ดี ก็สามารถสร้างกำไรได้สูงขึ้น

บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) หรือ DELTA เปิดเผยว่าไตรมาส 1/2566 มีกำไรสุทธิ 3,614 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 30% จากที่มีกำไรสุทธิ 2,780 ล้านบาทในช่วงเดียวกันปีก่อน(YoY ) และเทียบกับไตรมาส 4/2565 ที่มีกำไรสุทธิ 4,191 ล้านบาท ลดลง 13.8% (QoQ) แม้ว่าความต้องการของลูกค้าที่สูงขึ้นอย่างมากของกลุ่มโซลูชั่น สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle Solutions) กลุ่มผลิตภัณฑ์ระบบอัตโนมัติสำหรับภาคอุตสาหกรรม (Industrial Automation)

อย่างไรก็ตามยอดขายชะลอตัวลงจากฐานสูงในไตรมาสที่แล้ว (QoQ) เนื่องจากปัจจัยกดดันของสภาวะเศรษฐกิจโลกในปีนี้ยังมีความไม่แน่นอน ส่งผลให้กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีและองค์กรเพิ่มความระมดัระวงัในการบริหารเงินลงทุนและค่าใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ

ขณะเดียวกันบริษัทฯมีกำไรขั้นต้นจำนวน 6,713 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อน คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 20.8% ทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่ 20.9%  แต่ลดลง 20.9% เทียบกับไตรมาสก่อนอยู่ที่ระดับ 24.5%   เนื่องจากสถานการณ์ขาดแคลนวัตถุดิบสำคัญในกลุ่มโซลูชั่นสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ส่งผลต่อต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการวัตถุดิบ

กำไรของ DELTA ที่ออกมาจำนวน 3,614 ล้านบาท ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ คาดว่านักวิเคราะห์จะมีการทบทวนประมาณการกำไรในปี 2566 หรือต่อเนื่องถึงปี 2567

ด้านบริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น (ITC) มีกำไรสุทธิ 425 ล้านบาท ลดลง 483 ล้านบาท หรือ -53% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่ทำได้ ระดับ 908 ล้านบาท เกิดจากยอดขายที่ลดลง 16.7% เหลือจำนวน 3,586.8 ล้านบาท สาเหตุหลักเป็นผลมาจากการระบายสินค้าคงคลังของคู่ค้าในสหรัฐอเมริกา-ยุโรป รวมถึงสัดส่วนการขายสินค้าพรีเมียมน้อยลง และต้นทุนที่สูงขึ้น แต่บริษัทยังสามารถรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 17.4%

นายพิชิตชัย วงศ์ปิยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น  (ITC) กล่าวว่า บริษัทฯ มองว่าการระบายสินค้าคงคลังของลูกค้าในช่วงต้นปี 2566 เป็นปัจจัยระยะสั้นและมีสัญญาณที่ดีในไตรมาสถัดไป และคาดว่าการจัดการสินค้าคงคลังจะกลับมาสู่สภาวะปกติในช่วงไตรมาสที่ 2  อีกทั้งสินค้าชนิดพรีเมียมได้เริ่มทยอยกลับมา และยังมีลูกค้ารายใหม่และรายใหญ่เพิ่มเติมเข้ามาอีกด้วย

“ผมมั่นใจว่าบริษัทจะทำผลงานได้ดีในช่วงครึ่งหลังของปี ทั้งในแง่ของยอดขายและความสามารถในการทำกำไร บริษัทฯยังคงเดินหน้าแผนการลงทุนขยายธุรกิจกว่า 2,100 ล้านบาทในปีนี้ กำลังก่อสร้างโรงงานใหม่ในจังหวัดสมุทรสาคร จะเพิ่มกำลังการผลิตอาหารเปียกและขนมทานเล่นของสัตว์เลี้ยงขึ้นอีก 18.7%  โดยมีไลน์บรรจุหีบห่อแบบอัตโนมัติ คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ภายในปีนี้ เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ”นายพิชิตชัยกล่าว

ด้าน บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม  หรือ ปตท.สผ.(PTTEP) ไตรมาสแรก/2566 มีกำไรสุทธิ 19,281 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน  8,762 ล้านบาทหรือ 83.30% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ปตท.สผ. กล่าวว่า ปตท.สผ. มีความคืบหน้าการดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ที่เน้นการลงทุนในพื้นที่ยุทธศาสตร์ทั้งในไทยและต่างประเทศ  รวมถึงได้หลีกเลี่ยงและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสะสมได้ประมาณ 1.7 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า จากปีฐาน 2563 จนถึงปลายไตรมาสที่ 1

“ไตรมาส 1 มีรายได้รวม 2,314 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  (เทียบเท่า 78,438 ล้านบาท) ลดลงประมาณ  14% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2565 โดยหลักมาจากปริมาณการขายเฉลี่ยลดลงมาอยู่ที่ 460,817 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เนื่องจากปริมาณการขายจากโครงการในต่างประเทศลดลง   แต่มีรายจ่ายจากรายการที่ไม่ใช่การดำเนินงานปกติ ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาเช่นกัน ทำให้มีกำไรสุทธิที่ 569 ล้านดอลลาร์  (เทียบเท่า 19,281 ล้านบาท) สามารถนำส่งรายได้ให้กับรัฐ ประมาณ 8,300 ล้านบาท “นายมนตรีกล่าว

บริษัทปูนซิเมนต์ไทย(SCC) มีกำไรสุทธิ  16,526 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +87 % จากช่วงเดียวกันปีก่อนและเติบโต+157 % จากไตรมาส 4 ที่ผ่านมา เนื่องจากในช่วง 3เดือนแรกกำไรส่วนใหญ่มาจากกําไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนใน SCG Logistics หากไม่รวมรายการพิเศษ กำไรอยู่ที่ 4,516 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,446 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน  ซึ่งถือว่ากำไรดีกว่าคาดและเห็นสัญญาณการฟื้นตัวส่งผลให้ราคาหุ้นดีดตัวขึ้น หลังจากปรับตัวลงมานาน

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมทบทวนเป้าหมายรายได้ปี 2566  คาดว่าจะเติบโตไม่ถึง 10% เนื่องจากตลาดอาเซียนยังไม่ฟื้นตัวชัดเจน อัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง  ส่งผลกระทบต่ออสังหาริมทรัพย์ในบางประเทศ ขณะที่เศรษฐกิจโลกยังคงเปราะบาง โดยเฉพาะอเมริกาและยุโรป มีความเสี่ยงเข้าสู่การชะลอตัว  ส่วนเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวชัดเจน แต่ยังต้องเฝ้าระวัง 3 ปัจจัยเสี่ยง ได้แก่1. ความผันผวนของราคาพลังงาน  2.ความเสี่ยงภัยแล้ง 3. สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ที่สูงเกินมาตรฐาน ซึ่งหากนักท่องเที่ยวกังวลมากอาจจะทำให้ตัวเลขคาดการณ์ต่ำกว่าเป้าหมายได้

ส่วนแนวโน้มกำไรไตรมาส 2/66 (ไม่รวมรายการพิเศษ) คาดจะใกล้เคียงกับไตรมาส 1/66 เนื่องจากการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและการใช้ทรัพยากร  โดยนำพลังงานทดแทนเข้ามาใช้แทนถ่านหิน

ด้านตลาดหุ้นวันที่ 27 เม.ย.2566  ทรุดตัวลงแรงปิดที่ 1,531.23 จุด ลดลง 12.72 จุด หรือ -0.82% มูลค่าซื้อขาย 43,638.05 ล้านบาท นักลงทุนแต่ละกลุ่มซื้อขายไม่มาก เช่น ต่างชาติขายเพียง 252  ล้านบาท แต่ตลาดได้รัรับผลกระทบจากราคาหุ้น DELTA ดิ่งลงแรงปิดที่จุดต่ำสุดของวันที่ระดับ 748  บาท ร่วง 148 บาทหรือ -16.52%

นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา   ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นวันนี้ปรับตัวลง รับแรงกดดันจากหุ้น DELTA ที่มีผลต่อดัชนีฯถึง 14 จุด ขณะที่หุ้นตัวอื่น ๆ เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ

ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียวันนี้เคลื่อนไหวไซด์เวย์ทั้งในแดนบวก-ลบ คล้ายคลึงกับตลาดในยุโรปที่เทรดบ่ายนี้ก็เคลื่อนไหวไซด์เวย์ในทางบวกเล็กน้อย ในช่วงรอดูตัวเลข GDP ไตรมาส 1/66 ของสหรัฐในคืนนี้ ส่วนพรุ่งนี้รอดู GDP ของยุโรป และตัวเลข PCE ของสหรัฐ รวมถึงให้ติดตามการทยอยประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนต่อไป

แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (28 เม.ย.) ตลาดคงจะเคลื่อนไหวไซด์เวย์ ให้จับตา DELTA ที่จะแตกพาร์เหลือ 0.10 บาทในวันพรุ่งนี้(28เม.ย.) จะมีแรงเก็งกำไรเข้ามาเพิ่มหรือไม่ พร้อมให้แนวรับ 1,520-1,515 จุด แนวต้าน 1,550-1,555 จุด