บลจ.ไทยพาณิชย์รุกเพิ่มลูกค้าแตะ 1 ล้านราย-เปิดวิสัยทัศน์ 10 ปี มุ่งสู่องค์กรดิจิทัลยุคใหม่

HoonSmart.com>> “บลจ.ไทยพาณิชย์” ตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าแตะ 1 ล้านราย ใน 2 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันเกือบ 7 แสนราย พร้อมคาดปี 66 ปั๊ม AUM เติบโต 3-5% แรงหนุนจากตราสารหนี้ผลตอบแทนน่าสนใจดึงเม็ดเงินเข้าลงทุน ด้านหุ้นมีลุ้นฟื้นครึ่งปีหลัง พร้อมเปิดวิสัยทัศน์ 10 ปี มุ่งสู่องค์กรดิจิทัลยุคใหม่ พัฒนาผลิตภัณฑ์-งานบริการครบถ้วนและตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม ตั้งเป้าหมายเป็นองค์กรอันดับหนึ่งด้านการบริหารจัดการกองทุนระดับภูมิภาคที่มีการเติบโตที่ยั่งยืน

นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ในปี 2566 นี้บริษัทประเมินการเติบโตของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหาร (AUM) ของบริษัทน่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 3-5% จากปีที่ผ่านมามี AUM อยู่ที่ 1.61 ล้านล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 19.58% ซึ่งยังคงครองอันดับหนึ่งของบริษัทจัดการที่มีมูลค่าทรัพย์สินสูงที่สุด โดยแบ่งสัดส่วนมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนรวม (MF) อยู่ที่ 8.92 แสนล้านบาท, กองทุนส่วนบุคคล (PF) มูลค่า 5.35 แสนล้านบาท และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) มูลค่า 1.83 แสนล้านบาท

“การเติบโตของ AUM ในปีนี้จะมาจากกองทุนตราสารหนี้ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ลูกค้าคุ้นเคยและปัจจุบันผลตอบแทนในตลาดสูงขึ้น ทำให้ความสนใจในกองทุนตราสารหนี้จะมากขึ้น และหากครึ่งปีหลังหุ้นปรับตัวขึ้นก็จะหนุนภาพรวมที่จะโตได้ทั้งจากมูลค่าของกองทุนหุ้นเพิ่มขึ้นและเงินใหม่ที่เข้ามาลงทุน”นายณรงค์ศักดิ์ กล่าว

ตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าแตะ 1 ล้านรายใน 2 ปี

นายณรงค์ศักดิ์ กล่าวว่า บริษัทมีแผนสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว จากการขยายฐานลูกค้า ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ โดยจะเร่งเพิ่มตัวแทนจำหน่าย (บล., บลน., แบงก์, ประกัน) เพิ่มตัวแทนขายอิสระ ซึ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาจำนวนลูกค้าบริษัทเพิ่มขึ้นถึง 50% จากปัจจุบันมีจำนวนลูกค้าเกือบ 7 แสนราย ตั้งเป้าแตะ 1 ล้านรายใน 2 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะการเติบโตจากช่องทางขายของธนาคารไทยพาณิชย์ที่่กลับมาแอคทีฟมากขึ้น รวมถึงการเติบโตผ่านแอพลิเคชัน SCBAM Fund Click เป็นช่องทางตรงของบริษัทที่ได้สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้ารายเล็กๆ สามารถลงทุนในต้นทุนต่ำจากกองทุนประเภท e-class เข้าถึงลูกค้าได้ง่ายซื้อขายผ่านแอพลิเคชัน โดยไม่เก็บค่าธรรมเนียมการซื้อและการจัดการ สามารถเริ่มต้นลงทุนได้ตั้งแต่ 1 บาท

“สิ่งที่เราทำมอง 5-10 ปีข้างหน้า ถ้าเหตุมันถูก ผลก็จะมา เราก็หวังว่าจะโตไปกับพวกเขา การทรานฟอร์มจาก Old Wealth ไปสู่ New Wealth ก็จะเกิดขึ้น ด้วยการเพิ่มจำนวนลูกค้าที่เป็นคนรุ่นใหม่ จะสามารถมีฐานที่กว้างขึ้น เราก็จะได้โตอย่างยั่งยืน”นายณรงค์ศักดิ์ กล่าว

อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่าบลจ.หลายแห่งเติบโตมาในยุค 10-15 ปีก่อน เพราะมีการผลักดันจากช่องทางจำหน่าย ขายเฉพาะกลุ่มที่มีเงินสูง โตจากเงินของกลุ่มไฮเน็ตเวิร์ค แต่ในลำดับต่อไปจะเกิดจาก New Wealth , Medium Income ขึ้นเป็น High Income เป็น New Wealth ใน 5-10 ปี จาก New ธุรกิจออนไลน์และอื่นๆ ดังนั้นหัวใจสำคัญคือต้องให้ประสบการณ์ฐานรากให้ลูกค้าแล้ว AUM จะตามมา ขณะเดียวกันก็จะรักษาลูกค้าปัจจุบันให้ดีที่สุด เมื่อเพิ่มจำนวนลูกค้าสู่เป้า 1 ล้านรายได้ก็จะผลักดัน AUM โตอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ขณะที่ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลก็มีการเติบโต

นายอาชวิณ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการตลาดและช่องทางการขาย กล่าวเพิ่มว่า ช่วงที่ผ่านมาตัวแทนขายอิสระของบริษัทเติบโต 50% จากปี 2561 จากบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน (บลน.) บริษัทประกันและธนาคารพาณิชย์ ขณะที่ช่องทางขายผ่านตัวแทนขายอิสระเติบโตมากถึง 600% หรือ 6 เท่าจากปี 2561 จึงส่งผ่านกองทุนของบริษัทไปถึงมือนักลงทุนได้ทุกช่องทาง ขณะที่แอพลิเคชัน SCBAM Fund Click เป็นช่องทางขายที่ทำให้บริษัทติดต่อกับผู้ลงทุนได้โดยตรง ปัจจุบันมีบัญชีเคลื่อนไหวมากกว่า 1 หมื่นบัญชี

บริษัทมองว่าพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อให้ก้าวทันกับความต้องการของลูกค้าจึงเป็นสิ่งจำเป็น บริษัทจึงตั้งเป้าหมายการขยายตลาด โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์สำหรับกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ ด้วยการ (1) จัดตั้งกองทุน Private Asset ที่มีการลงทุนเฉพาะในกลุ่ม Asset Class ต่างๆ เช่น Private Equity, Private Credit และ Private Real Estate/Infrastructure (2) เพิ่มและหาโอกาสการลงทุนในกองทุนประเภทอื่น เช่น Hedge Fund เป็นต้น สำหรับกลุ่มลูกค้ารายย่อย

(3) วางแผนเพิ่มชนิดหน่วยลงทุนประเภท e-class และ SSF e-class ที่ได้รับการเรียกร้องให้เปิดหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการลงทุนที่ไม่มีค่าธรรมเนียมการซื้อ (Front-ended fee) และค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management fee) โดยล่าสุดบริษัทมีหน่วยลงทุนประเภท e-class และ SSF e-class จำนวน 80 กองทุน คิดเป็นมูลค่าทรัพย์สิน (AUM) มากกว่า 2,000 ล้านบาท (ข้อมูลเดือนก.พ.2566) และ (4) ขยายกองทุน Index Fund ให้ครอบคลุมภูมิภาคอื่น หรือ Asset Class อื่นเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการของนักลงทุนไทยที่ต้องการไปลงทุนในต่างประเทศที่มีมากขึ้นได้ ควบคู่กับการขยายฐานลูกค้าผ่านช่องทางพันธมิตรที่มากขึ้น รวมถึงตัวแทนขายอิสระ ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของผลการดำเนินงานที่ดีในช่วงปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ บริษัทจะนำเทคโนโลยีมาพัฒนาแอพลิเคชัน SCBAM Fund Click ให้คำแนะนำด้านการลงทุนและบริการที่ครบวงจร เพื่อช่วยเสริมความแข็งแกร่งด้านการเติบโตของจำนวนลูกค้าให้เพิ่มมากขึ้น

เปิดวิสัยทัศน์ 10 ปี สู่องค์กรดิจิทัลยุคใหม่

นายณรงค์ศักดิ์ กล่าวอีกว่า ในปี 2565 บริษัทฯ ประสบความสำเร็จอย่างมาก ในด้านการบริหารจัดการกองทุน ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุน การพัฒนาช่องทางการขาย และการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายที่ดี ซึ่งส่งผลให้ บลจ. ได้รับรางวัลการันตีจากหลายหน่วยงานชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ โดยหนึ่งในนั้นคือ รางวัลการเป็น บลจ. อันดับหนึ่งด้าน “ความยั่งยืน” รายแรกของประเทศไทย จากเวที SET Awards ซึ่งนับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญต่อการพัฒนาองค์กรให้ก้าวสู่ความยั่งยืนในระยะยาว ซึ่งปัจจุบันก็เป็นโจทย์ที่ท้าทายสำหรับทุกองค์กรทั่วโลกด้วยเช่นกัน

บริษัทจึงมีเป้าหมายผลักดันความยั่งยืนให้เข้าไปเป็นส่วนหลักในทุกกิจกรรม เพื่อสร้างการเติบโตและให้เป็นที่เชื่อมั่นของกลุ่มพันธมิตรในระดับภูมิภาค ด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาเป็นเครื่องมือหลักในการผลักดัน เช่น ต่อยอดการใช้ AI & Machine Learning มาพัฒนาผลิตภัณฑ์และจัดการบริหารกองทุน และการนำเทคโนโลยีมาเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างประสบการณ์ที่ดีด้านการลงทุนและการบริการให้กับลูกค้า

ทั้งนี้ เพื่อต่อยอดทางธุรกิจ รองรับการเติบโต และเชื่อมต่อกับพันธมิตรทางธุรกิจต่างๆ ได้อย่างคล่องตัวมากขึ้นในอนาคต (Scalable Business)

ในปี 2576 บริษัทฯ จะก้าวสู่การเป็นที่หนึ่งด้วยวิสัยทัศน์ “To be the Regional Technology and Trusted Partner AMC” ใน 4 เรื่อง

คือ (1) การสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงให้นักลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง (2) มีช่องทางและผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างกันอย่างเหมาะสม และเต็มรูปแบบมากขึ้น

(3) เป็นผู้นำการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ มาสร้างนวัตกรรมการบริหารจัดการ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ ซึ่งในปัจจุบันมีหลากหลายรูปแบบมากขึ้น และ (4) เสริมสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่สร้างโอกาสในการเรียนรู้ของพนักงาน เกื้อหนุนการเติบโตและประสบการณ์ของพนักงานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแม้ว่าปัจจุบันโลกจะเดินหน้าด้วยเทคโนโลยี แต่บริษัทยังคงเชื่อมั่นว่าพนักงานมีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนองค์กร โดยบริษัทจะเน้นการสร้างวัฒนธรรมในที่ทำงานผ่านรูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่น มีแนวปฏิบัติในการทำงานด้วยค่านิยมที่พนักงานงานสามารถเข้าถึงได้ และการสร้างวัฒนธรรมการทำงานร่วมกันเป็นทีม

ด้านนางนันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการลงทุน เปิดเผยกลยุทธ์ด้านการลงทุนว่า บริษัทจะพัฒนารูปแบบการลงทุนผ่านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง มุ่งมั่นบริหารกองทุนด้วยวิธี Quantamental Investing ซึ่งคือ Quantitative Analysis (การคำนวนเชิงปริมาณ) รวมกับ Fundamental Analysis (การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน) โดยการใช้ Big Data และ Machine Learning มาผสมผสานกับ Human Expertise เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ซึ่งการบริหารด้วยวิธีดังกล่าวจะช่วยให้บริษัทสามารถขยาย Investment Universe การลงทุนได้ในวงกว้าง สร้างหรือปรับพอร์ตลงทุนได้ตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ ทั้งด้านความเสี่ยงและผลตอบแทน

“จากกลยุทธ์นี้ บริษัทมองว่าค่าใช้จ่ายสำหรับโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่ใช้ในการประมวลผลและข้อมูลมีความคุ้มค่า เมื่อเทียบกับจำนวนหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นและโอกาสการลงทุนที่ตามมา ทั้งนี้ บริษัทเริ่มออกกองทุนที่บริหารโดย Machine Learning มาแล้ว 5 ปี เริ่มต้นจากการลงทุนในตลาดไทย และขยายการลงทุนตรงไปในหุ้นประเทศจีน หุ้นประเทศอเมริกา และ ETF ในอเมริกา โดยจำนวนนักลงทุนที่สนใจในการลงทุนโดยวิธี Machine Learning มีเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง”นางนันท์มนัส กล่าว

แนะลดถือเงินสดโยกลงทุนตราสารหนี้-หุ้น

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในปัจจุบัน แนะนำให้ลดการถือเงินสดไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้น โดยมองตลาดหุ้นเอเชียน่าสนใจจากจีนเปิดประเทศ รวมถึงหุ้นไทย สัดส่วน 45% ส่วนตราสารหนี้น่าสนใจผลตอบแทนสูง เนื่องจากมองแนวโน้มเงินเฟ้อน่าจะพีคในไม่ช้า ดอกเบี้ยสหรัฐฯเข้าใกล้จุดสูงสุดในไม่ช้าจึงเป็นจุดที่น่าเข้าไปลงทุน โดยแบ่งสัดส่วนลงทุนตราสารหนี้ประมาณ 45% และอีก 10% ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัย เช่น ทองคำ

ส่วนกรณีที่เกิดปัญหากับ 3 แบงก์สหรัฐฯที่ถูกปิดลงนั้น กองทุนของบริษัทไม่มีการลงทุนโดยตรง มีการลงทุนผ่านกองทุนหลักต่างประเทศ ส่วนกองทุนเปิดไทยพาณิชย์เครดิต ออพพอทูนิตี้ (SCBOPP) ที่มีการลงทุนใน AT1 ของ Credit Suisse นโยบายของกองทุนจะลงทุนในตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงค่อนข้างมาก เพื่อสร้างผลตอบแทนที่สูง ซึ่งจากเดิมลงทุนใน AT1 สัดส่วน 5% แต่กองทุนหลักได้ทยอยขายออกไปแล้ว

นายอาชวิณ กล่าวเพิ่มว่า SCBOPP มีกองทุนหลักบริหารโดย GAM Fund Management Limited บลจ.ต่างประเทศที่เชี่ยวชาญลงทุนตราสารหนี้ ปัจจุบันมีสัดส่วนลงทุนเพียง 1.80% ของมูลค่ากองทุน ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงสุดของกองทุนบริษัท ส่วนกองทุนอื่นๆ มีสัดส่วนลงทุนน้อยมาก 0.1-0.3% ต่อกองเท่านั้น ซึ่งผู้จัดการกองทุนให้ความเห็นว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นไปตามกลไกของตลาด ส่วน AT1 ของ Credit Suisse ที่มีการ Write-Down รัฐบาลสวิสก็มีการจัดลำดับความสำคัญในการบริหารจัดการไว้แล้ว การลงทุนใน AT1 ขึ้นกับมุมมองของผู้จัดการกองทุน ซึ่งการลงทุนมีทั้งถูกต้องบ้างหรือผิดบ้าง แต่ถ้าเป็นการลงทุนที่อยู่ภายใต้กรอบความเสี่ยงที่รับได้ก็อยู่ในนโยบายกองทุน

นางนันท์มนัส กล่าวว่า ส่วนแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดขึ้นต่อ เงินเฟ้อยังสูงน่าจะเห็นความชัดเจนในไตรมาส 2-3 นี้ ส่วนแบงก์สหรัฐฯ ปัญหากระจุกตัว ซึ่งบริษัทไม่ได้ชอบหุ้นแบงก์ในสหรัฐอยู่แล้ว ปัจจุบันหลีกเลี่ยงการลงทุนด้วยราคาและภาพรวมเศรษฐกิจจึงไม่ได้ลงทุน ส่วนเฟดขึ้นดอกเบี้ยอยู่ที่ 5% และแนวโน้ม 5.25-5.5% ใกล้พีค จึงแนะนำลงทุนหุ้นกลุ่มเติบโตมากกว่าหุ้นคุณค่าอย่างแบงก์