“แอสเซท พลัส” มองเป้าหุ้นไทย 1,874 จุด ชู “จีน-ตลาดเกิดใหม่” เด่นปี 66

HoonSmart.com>> “บลจ.แอสเซท พลัส” ชี้เป้าลงทุนปี 66 ชูตลาดหุ้นจีน-ตลาดเกิดใหม่โดดเด่นปีนี้ แนะกระจายลงทุน “อินเดีย-เวียดนาม-ไทย” พร้อมวางเป้าดัชนีหุ้นไทยสิ้นปี 66 อยู่ที่ 1,874 จุด รับเศรษฐกิจเติบโต แรงหนุนจีนเปิดประเทศ นักท่องเที่ยวแกร่ง เลือกตั้งอัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ มองหุ้นท่องเที่ยว ค้าปลีก เกี่ยวข้องเลือกตั้งเด่น ส่วนตราสารหนี้ ชู “จีน-ไทย” เน้นกลุ่มคุณภาพดี

ณัฐพล จันทร์สิวานนท์

นายณัฐพล จันทร์สิวานนท์ กรรมการบริหาร ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แอสเซท พลัส จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยปี 2566 สดใส โดยคาดการณ์ดัชนีสิ้นปีอยู่ที่ 1,874 จุด พี/อี 17 เท่า กำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโต 8% อัตราผลตอบแทนคาดหวัง 14.43% กรณีดีที่สุด จากปัจจัยบวกในประเทศ เศรษฐกิจไทยขยายตัวและเติบโตได้ดี เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นที่พัฒนาแล้ว Bloomberg Consensus คาดการณ์ GDP ไทยปีนี้ 3.8% จากปี 2565 อยู่ที่ 3.2% ถือว่าโดดเด่นในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ รวมทั้งประมาณการเงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่องไปจนถึงปี 2567 การเปิดประเทศของจีนส่งผลบวกต่อการท่องเที่ยวและมีแนวโน้มจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มสูงขึ้นจากการที่หลายประเทศผ่อนคลายมาตรการการเดินทาง

นอกจากนี้เม็ดเงินลงทุนต่างชาติที่ไหลเข้าหุ้นไทยในปี 2565 สูงสุดในรอบ 22 ปี และการกลับมาแข็งค่าของค่าเงินบาทหลังดอลลาร์อ่อน อาจส่งผลให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งอาจเซอร์ไพร์สตลาดหากธปท.ขึ้นดอกเบี้ยน้อยกว่าคาด Bloomberg Consensus คาดดอกเบี้ยปีนี้อยู่ที่ 1.75-2% ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นและตราสารหนี้ จึงคาดว่าเงินลงทุนต่างชาติยังไหลเข้าลงทุนต่อเนื่องและจากสถิติที่ผ่านมาในช่วงที่เงินต่างชาติเข้าจะไหลเข้าต่อเนื่องหลายปีติดต่อกัน

ส่วนหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจได้แก่หุ้นที่เกี่ยวข้องการบริโภค ค้าปลีกและเกี่ยวข้องการเลือกตั้ง ซึ่งการเลือกตั้งที่จะมีนโยบายของแต่ละพรรคออกมา

สำหรับปัจจัยลบที่กระทบหุ้นไทย ได้แก่ เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มเข้าสู่่ช่วงถดถอย เศรษฐกิจโลกขยายตัวลดลง ดอกเบี้ยที่ยังเป็นแนวโน้มขาขึ้นและภาวะสงคราม

นายณัฐพล กล่าวว่า ภาพการลงทุนในปีนี้จะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ตลาดพัฒนาแล้วที่เข้าสู่เศรษฐกิจถดถอย ขณะที่ตลาดเกิดใหม่ได้อานิสงส์จากจีนเปิดประเทศเร็วกว่าคาด ค่าเงินกลับมาแข็งค่าอีกครั้งส่งผลให้ตลาดหุ้นมีแนวโน้มสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้น คาดการณ์ประมาณการ GDP ของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า

ในส่วนของประเทศจีน นอกจากเปิดเมืองเร็วกว่าคาดที่เป็นผลบวกต่อตลาดหุ้นจีนในปีนี้แล้ว จีนยังมีนโยบายสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์และเตรียมผ่อนคลายมาตรการ Three Arrows Policy เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและความเชื่อมั่นของตลาด พร้อมกันนี้คาดว่ารัฐบาลจะมีการออกนโยบายการคลังและการเงินเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยแรงหนุนของการขยายตัวทางเศรษฐกิจปีนี้คาดว่าจะมาจากภาคการบริโภค เนื่องจากชาวจีนมีเงินออมส่วนเกิน (Excess Saving) ที่ค่อนข้างมาก แนะนำตลาด H-Ashare หุ้นที่เกี่ยวข้องการบริโภค อินเทอร์เน็ต และลดน้ำหนัก EV ลงเล็กน้อย

สำหรับสหรัฐฯ ซึ่งเศรษฐกิจมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะถดถอยจากการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ เพื่อกดเงินเฟ้อในช่วงครึ่งปีแรก เงินเฟ้อภาคบริการที่ลดลงยากกว่าคาดการณ์ รวมทั้งกำไรต่อหุ้นยังอยู่ในระดับสูงซึ่งอาจถูกปรับประมาณการลงได้อีก ในช่วงครึ่งปีแรกจึงแนะนำหุ้นกลุ่มที่มีความทนทานต่อทุกสภาพตลาด ( Defensive) เช่น กลุ่ม Health care, Utilities และ Consumer staples สำหรับครึ่งปีหลังคาดการณ์เศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง หลังธนาคารกลางหลักเริ่มลดอัตราดอกเบี้ย ทำให้หุ้นกลุ่มวัฏจักร (Cyclical) เช่น กลุ่ม Technology, Autos และ Media&Entertainment มีแนวโน้มให้ผลตอบแทนได้ดี

ส่วนยุโรป เงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางยุโรป (ECB) แม้ว่าค่าเงินยูโรจะกลับมามีเสถียรภาพขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ ธนาคารกลางสหรัฐฯ ชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม Bloomberg Consensus มีมุมมองว่า ECB จะยังคงเดินหน้าขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป เพื่อกดให้เงินเฟ้อลงสู่เป้าหมายที่ 2% โดยคาดว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย ไปจนถึงกลางปี 2566 และไม่มีการลดอัตราดอกเบี้ยลง

ด้านตลาดหุ้นญี่ปุ่น ช่วง 5- 6 เดือนที่ผ่านมาเผชิญกับค่าเงินเยนที่แข็งค่า ซึ่งเมื่อเจาะลึกลงไปพบว่าค่าเงินเยนที่แข็งค่านั้นสัมพันธ์กับหุ้น Value ซึ่งมีแนวโน้มให้ผลตอบแทนที่ชนะหุ้นเติบโตค่อนข้างชัดเจน

สำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ในช่วงเข้าสู่ภาะวเศรษฐกิจถดถอย แนะนำลงทุนในตราสารหนี้ระดับ Investment Grade เนื่องจาก Credit Spread ไม่ได้กว้างขึ้นมาก แต่สำหรับจีนหลังจากรัฐบาลออกมาตรการแกวิกฤตหนี้เสียอสังหาริมทรัพย์ครั้งใหญ่ช่วงเดือนพ.ย.65 ทำให้ผลตอบแทนของหุ้นกู้ที่เป็น High Yield ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องและมีแนวโน้มให้ผลตอบแทนที่ดีต่อไปจากทั้งการผ่อนปรนมาตรการ 3Red Lines ในช่วงที่ผ่านมา จีงแนะนำตราสารหนี้จีน รวมถึงไทย ซึ่งคาดการณ์กนง.มีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยขึ้นอีก 2 ครั้งๆ ละ 0.25% จากปัจจุบันที่ 1.25% แม้เป็นระดับที่ไม่รุนแรง เนื่องจากค่าเงินบาทเริ่มกลับมามีเสถียรภาพ แต่ปีนี้แนะลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น เพื่อลดความเสี่ยงอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นและหากต้องการเพิ่มอายุตราสรหนี้แนะนำให้เพิ่มในปี 2567 เป็นต้นไป เนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าวมีโอกาสที่ธปท.จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง

ส่วนการลงทุนในทองคำแนะนำเพียงการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ตโดยรวม แม้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงก็ตาม

“พอร์ตการลงทุนที่แนะนำลงทุนในประเทศจีน ทั้งกองทุนหุ้นและตราสารหนี้ หรือจะกระจายการลงทุนในไทย เวียดนาม และตลาดประเทศเกิดใหม่อย่างอินเดีย รวมทั้งในกลุ่มประเทศอาเซียน นอกจากนี้ ตลาดที่พัฒนาแล้วอย่างญี่ปุ่น ก็จะเน้นลงทุนในหุ้นสไตล์ Value โดยสามารถปรับสัดส่วนการลงทุนในพอร์ตเพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าให้กับลูกค้าได้ นายณัฐพล กล่าว

อย่างไรก็ตามสำหรับนักลงทุนที่ถือหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ซึ่งราคาปรับตัวลดลงมากในช่วงที่ผ่านมา แต่ยังไม่แนะนำให้ซื้อเพิ่มรอครึ่งปีหลังหรือจับจังหวะที่ดัชนี S&P 500 ลงไปแถวระดับ 3,200-3,400 จุด ค่อยเข้าเก็บ ส่วนหุ้นเทคโนโลโยจีนเข้าซื้อได้จากปัจจัยสนับสนุนของประเทศ ขณะที่หุ้นเวียดนามระยะยาวยังถือลงทุนได้เช่นกัน
 
 
 
 
อ่านข่าว

“แอสเซท พลัส” เปิดตัว “กองทุนคาร์บอนเครดิต” กองแรกในไทย