JTS กำไร Q3/65 วูบ 95% บุ๊กด้อยค่าบิทคอยน์-ต้นทุนขุดเหมืองพุ่ง

HoonSmart.com>> จัสมิน เทคโนโลยี โซลูชั่น (JTS) เปิดกำไรไตรมาส 3/65 วูบเหลือ 4.59 ล้านบาท ร่วงกว่า 95% จากกำไร 103 ล้านบาทงวดปีก่อน เหตุบันทึกด้อยค่าธุกิจเหมืองบิทคอยน์ เดินหน้าลงทุนตามแผนลงทุนระยะยาว แม้ผลตอบแทนไม่เป็นไปตามเป้า ราคาเหรียญบิทคอยน์ผันผวนหนัก ด้านต้นทุนขุดเหมืองบิทคอยน์พุ่ง ส่วนงบ 9 เดือนกำไรยังโต 10% แตะ 135 ล้านบาท

บริษัท จัสมิน เทคโนโลยี โซลูชั่น (JTS) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2565 กำไรสุทธิ 4.59 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.01 บาท ลดลง 98.31 ล้านบาท หรือ -95.49% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 102.89 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.15 บาท และลดลง 30.17 ล้านบาท หรือ -86.67% จากไตรมาส 2 ปี 2565

ส่วนงวด 9 เดือน ปี 2565 กำไรสุทธิ 135.51 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.19 บาท ลดลง 9.93% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 150.45 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.21 บาท

บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้รวมจากการดําเนินงานในไตรมาส 3/2565 จํานวน 691.12 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 193.22 ล้านบาท คิดเป็น 38.81% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 154.37 ล้านบาท คิดเป็น 28.76% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2565 โดยมีการเติบโตของรายได้ธุรกิจให้บริการโครงข่ายโทรคมนาคม ธุรกิจออกแบบและวางระบบสื่อสารและโทรคมนาคม ธุรกิจจัดหา ออกแบบและวางระบบคอมพิวเตอร์ โดยมีอัตราการเติบโต 29.34% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี ก่อน และเติบโต 24.90% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2565

ด้านรายได้จากธุรกิจเหมืองขุดบิทคอยน์ 72.90918189 เหรียญบิทคอยน์ คิดเป็นเงิน 56.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51.81 ล้านบาท คิดเป็น 1,228.54% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนและเหรียญบิทคอยน์เพิ่มขึ้น 50.67800523 เหรียญ คิดเป็น 227.96% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2565

นอกจากนี้มีกําไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 20.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.18 ล้านบาท คิดเป็น 33.70% และมีรายได้อื่น 0.23 ล้านบาท ลดลง 3.12 ล้านบาท คิดเป็น 93.13%

ด้านต้นทุนเหมืองขุดบิทคอยน์อยู่ที่ 161.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,225.13% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 3.74 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 158.02% เมื่อเทียบไตรมาส 2/2565 อยู่ที่ 64.06 ล้านบาท

บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีกําไรจากการดําเนินงานก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจําหน่าย (EBITDA) ในไตรมาสที่ 3/2565 จํานวน 205.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.22 ล้านบาท คิดเป็น 11.52% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 39.98 ล้านบาท คิดเป็น 24.16% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2565 กรณีไม่รวมการด้อยค่าสินทรัพย์ในธุรกิจเหมืองขุดบิทคอยน์ บริษัทฯ จะมีกําไรสุทธิ จํานวน 72.96 ล้านบาท

สำหรับธุรกิจเหมืองขุดบิทคอยน์ ที่ดําเนินการโดย บริษัท จัสเทล เน็ทเวิร์ค จํากัด (JasTel) ซึ่งเป็น บริษัทย่อย มีจํานวนเครื่องขุดบิทคอยน์ที่ติดตั้งแล้วเสร็จ จํานวน 2,037 เครื่อง กําลังขุดรวม 213,189 TH/s โดยจะมีเครื่องขุดบิทคอยน์ที่จะทยอยส่งมอบในไตรมาส 4/2565 อีกจํานวน 902 เครื่อง และในไตรมาสที่ 1/2566 อีกจํานวน 600 เครื่อง ทําให้ JasTel จะมีเครื่องขุดบิทคอยน์จํานวนทั้งสิ้น 3,539 เครื่อง กําลังขุดรวมทั้งสิ้น 423,190 TH/s

บริษัทฯ ยังคงลงทุนในธุรกิจเหมืองขุดบิทคอยน์ตามแผนการลงทุนในระยะยาวที่ได้กําหนดไว้ด้วยความระมัดระวังรอบคอบ ถึงแม้ว่าผลการตอบแทนการลงทุนธุรกิจเหมืองขุดบิทคอยน์ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ได้กําหนดไว้ เนื่องจากราคาเหรียญบิทคอยน์มีความผันผวนอย่างมาก โดยเมื่อวันที่ 18 มิ.ย.2565 ราคาเหรียญบิทคอยน์มีราคาปิดต่ำสุดที่ 19,017.64 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ และเมื่อวันที่ 21 ก.ย.2565 ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกัน ทําให้ Federal Funds Rate อยู่ที่3.25% ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดคริปโตผันผวนอย่างหนัก

ทั้งนี้ตลาดคริปโตมีความสัมพันธ์อย่างมากกับตลาดหุ้น และการเคลื่อนไหวยังขึ้นอยู่กับปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค ดังนั้นการขึ้นดอกเบี้ยย่อมส่งผลต่อแนวโน้มของตลาดคริปโตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และสอดคล้องกับทิศทางของการลงทุนในเกือบทุกสินทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นทั่วโลก แต่ในอีกด้านหนึ่งปริมาณซื้อขายเหรียญบิทคอยน์ได้เพิ่มขึ้นสูงสุดเมื่อวันที่ 28 ก.ย.2565 เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ที่มีการซื้อขายกันทั่วโลก

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้พิจารณาการขยายธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโซล่าร์เซลล์ เพื่อสร้างโอกาสเติบโตในอนาคต เนื่องจากธุรกิจต่างๆ ให้ความสําคัญทางด้านพลังงานทดแทนหรือพลังงานสะอาดตามเทรนด์รักษ์โลกกันมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ เนื่องจากพลังงานดังกล่าวเป็นหนึ่งในพลังงานทางเลือกหลักที่ทั่วโลกเลือกใช้ รวมถึงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ใหม่ๆ เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

นอกจากนี้ทางกระทรวงพลังงาน และสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้ออกนโยบายเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมโซลาร์เซลล์ของไทยทั้งทางด้านการผลิตและการใช้งาน ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยสนับสนุนให้ภาคธุรกิจสนใจการใช้พลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มขึ้น อีกทั้งเป็นการจัดการและการลดต้นทุนในระยะยาว

อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ยังคงติดตามสภาวการณ์ต่างๆ เพื่อปรับเปลี่ยนแผนการลงทุนให้เหมาะสม ทั้งพิจารณาแนวทางในการบริหารความเสี่ยงด้วยความระมัดระวัง เพื่อรักษาผลประโยชน์ของบริษัทฯ และผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย