โพลล์ชี้เป้าQ4 สูงสุด1,709 เชียร์ ADVANC-AOT-BBL-KBANK

HoonSmart.com>>สมาคมนักวิเคราะห์สำรวจความคิดเห็นสมาชิก-ผู้จัดการกองทุนคาดดัชนีหุ้นไตรมาสที่ 4/65 สูงสุดเฉลี่ย1,709 จุด และจุดต่ำสุดอยู่ที่ 1,585 จุด  สิ้นปีพบกันที่ 1,685 จุดดีขึ้นกว่าครั้งก่อน ได้ราคาน้ำมันดิบลง เศรษฐกิจฟื้น  แนะนำกระจายพอร์ตลงทุน ลงหุ้นไทย 26% หุ้นต่างประเทศ 20% กอดเงินสดประมาณ 20%  เพิ่มน้ำหนักค้าปลีก-ธนาคาร-ท่องเที่ยว  ลดน้ำหนักปิโตรเคมี-พลังงานและสาธารณูปโภค-อิเล็กทรอนิกส์

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนรวม 25 สำนัก เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนในไตรมาส 4 ปี 2565 (ต.ค.-ธ.ค.) คาดจุดสูงสุดของ SET Index เฉลี่ยที่ระดับ 1,709 จุด และจุดต่ำสุดอยู่ที่ 1,585 จุด ส่วนเป้าหมายดัชนี ณ วันสิ้นปี อยู่ที่ 1,685 จุด เพิ่มขึ้น 39 จุด จากระดับคาดการณ์ไว้ครั้งก่อน อยู่ที่ 1,646 จุด

ทั้งนี้มีผู้ตอบแบบสอบถาม  57.14% ที่คาดว่าดัชนีจะทำจุดสูงสุด 1,601 – 1,700 จุด และ 42.86 %ที่คาดว่าจุดสูงสุดจะอยู่ในช่วง 1,501 – 1,600 ตามลำดับ  คาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2565 ของตลาดเฉลี่ยที่ 100.36 บาท เพิ่มขึ้นกว่าผลสำรวจครั้งก่อน ซึ่งอยู่ที่ 94.47 บาท ครั้งนี้คาดการณ์ EPS Growth ของปี 2565 อยู่ที่ 13.51% บนสมมติฐานหลักปรับลดราคาน้ำมันดิบของปีนี้ จาก 102.36 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล  เหลือ 98.79 เหรียญสหรัฐ และลดประมาณการ GDP จากเดิมที่ 3.18% ลงมาเหลือที่ 3.09% ส่วนปี 2566 เติบโต 3.86% ด้านการปรับขึ้นดอกเบี้ยของกนง.ในไตรมาส 4 มีนักวิเคราะห์ถึง 56% ที่คาดว่าจะปรับขึ้น 0.25%

ปัจจัยบวกที่มีผลต่อทิศทางการลงทุนจนถึงสิ้นปี 2565   ได้แก่ ภาวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ตามด้วยผลประกอบการ บจ.ปี 2565 และปี 2566  ส่วนปัจจัยลบ ได้แก่เศรษฐกิจโลก  ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกา (เฟด) และปัจจัยด้านการเมืองในต่างประเทศ  การลดหรือยุติมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของประเทศสำคัญทั่วโลก

สำหรับคำแนะนำการลงทุน นักวิเคราะห์แนะนำให้กระจายพอร์ต แบ่งเป็น เงินสดและเงินฝากระยะสั้น 19.57% กองทุนตราสารหนี้ 18.91% หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 26.30% หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 20.43% กองทุนอสังหาฯหรือ REIT 8.83% และทองคำหรือกองทุนทองคำ 5.96%

“การลงทุนหุ้นไทย แนะนำให้เพิ่มน้ำหนัก ในหมวดธุรกิจ ค้าปลีก ธนาคาร การท่องเที่ยว ขณะที่ให้ลดน้ำหนัก หมวดธุรกิจปิโตรเคมี พลังงานและสาธารณูปโภค รวมถึงชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดยนักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 5 สำนักขึ้นไป  ได้แก่ 1.ADVANC 2.AOT 3.BBL และ4.KBANK” นายสมบัติกล่าว

ในส่วน ADVANC ได้ประโยชน์จากความต้องการใช้สื่อสารเพิ่มในช่วงเลือกตั้งหาเสียง ระยะกลางได้แรงหนุนจากการควบรวม 3BB, BJC ด้าน AOT มุมมองในระยะสั้น จากตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติหลังไทยยกเลิกระบบ Thailand Pass ตั้งแต่ 1 ก .ค. 65 หนุนให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ราว 1.4 ล้านคน ในเดือน ส.ค. (45% เทียบกับช่วง Pre COVID-19) ส่งผลให้ผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ของ64/65   มีผลขาดทุนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ QoQ และคาดมีโอกาสกลับมาทำกำไรปกติได้ใน 1-2 ไตรมาสข้างหน้า

BBL มองเป็นธนาคารพาณิชย์ใหญ่ที่ได้เปรียบจากการที่ กนง. ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งที่ 2 ในปีนี้ที่ระดับ 0.25% มาอยู่ที่ 1% และ KBANK ปัจจัยสนับสนุนจากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น นอกจากนี้การทำธุรกิจร่วมทุน JK AMC ทำให้ KBANK มี Balance Sheet ที่แข็งแกร่งมากขึ้น

นักวิเคราะห์ยังได้เพิ่มเติมการแนะนำไปยังรัฐบาล เกี่ยวกับนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ โดยส่วนใหญ่กล่าวถึง นโยบายที่เพิ่มกำลังซื้อแก่ประชาชน เพื่อกระตุ้นการบริโภค ได้แก่ ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอีก ลดภาษีบุคคลธรรมดาตามมาด้วย การช่วยเหลือภาคธุรกิจ ได้แก่ สนับสนุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ช่วยสภาพคล่องรักษาการจ้างงานSME รวมถึงสนับสนุนกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากราคาพลังงานที่สูงขึ้น และข้อแนะนำสุดท้าย เสนอเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม