“คิงส์ฟอร์ด” วางแนวรับ 1,575–1,580 จุด แนะ SAT-ICHI

HoonSmart.com>> บล.คิงส์ฟอร์ด คาดแนวโน้มดัชนีปรับฐานแนวรับ 1,575 – 1,580 จุด หลังเงินเฟ้อสหรัฐอยู่ระดับสูง กังวลเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย แนะทยอยซื้อบริเวณแนวรับ กลุ่มอาหาร TU, CPF, ASIAN ธนาคาร BBL, KBANK, SCB กลุ่มปลอดภัย ADVANC, EKH, BEM, PTG พร้อมคัดหุ้นเด่นรายวันเสิร์ฟ SAT, ICHI

บริษัทหลักทรัพย์คิงส์ฟอร์ด คาดดัชนี SET มีโอกาสปรับฐานลงสู่ระดับ 1,575 – 1,580 จุด หลัง US Core PCE ส.ค.อยู่ระดับสูง ส่งผลให้กังวลเฟดยังต้องปรับขึ้นดอกเบี้ย แนะทยอยซื้อบริเวณแนวรับ กลุ่มอาหาร TU, CPF, ASIAN/ ธนาคาร BBL, KBANK, SCB/ กลุ่มปลอดภัย ADVANC, EKH, BEM, PTG

ทั้งนี้ US Core PCE ส.ค. 4.9% & ก.ค. 4.7% YoY, ส.ค. 0.6% & ส.ค.ทรงตัว สะท้อนเงินเฟ้อสหรัฐยังขยายตัวในวงกว้าง ส่งผลให้เฟดยังต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยปีนี้คาดที่ 4.4% และปีหน้าคาดที่ 4.6% ส่งผลให้ US Bond Yield 2 ปี, 10 ปี ปรับขึ้นอยู่ที่ 4.2787%, 3.7769% ตามลำดับ เกิด Inverted Yield Curve

หุ้นแนะนำวันนี้ ได้แก่ SAT (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 22.00 บาท) สำหรับ 2H65 คาดผลการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้นจาก 2Q65 และจะเห็นการฟื้นตัว YoY ตามยอดการผลิตรถยนต์จากฐานที่ต่ำในปีก่อน แรงกดดันจากราคาวัตถุดิบเริ่มผ่อนคลายลงบ้าง ขณะเดียวกันการเจรจาปรับขึ้นราคากับลูกค้าทำได้ดีขึ้น

ส่วนต้นทุนการผลิตอื่นๆ ค่าไฟฟ้า ค่าแรง ที่จะมีการปรับขึ้นส่งผลกระทบต่อต้นทุนรวมไม่มาก เราคาดยอดขายรวมของบริษัทในปี 65 โต +3.3%YoY อยู่ที่ 8.9 พันล้านบาท ยังได้แรงหนุนจากรายได้จากงานใหม่เพลาท้ายและเพลาขับที่ราว 370 ล้านบาท/ปี ส่วนกำไรสุทธิในปี 65 อยู่ที่ 910 ล้านบาท (-5%YoYปี 66 เติบโต +14%YoY อยู่ที่ 1.04 พันล้านบาท

หุ้น ICHI (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 11.10 บาท) ภาพรวมการดำเนินงาน 2H22 มีแนวโน้มสดใสรับ 1.กรมสรรพสามิตเลื่อนเวลาขึ้น “ภาษีความหวาน” ออกไปอีก 6 เดือน ถึง 31 มี.ค. 66 2.การ Reopening ทั้งใน/ตปท. และ 3.แผนการออกเครื่องดื่มใหม่ เช่น เย็นเย็นรสบ๊วย+สมุนไพร/เครื่องดื่มอัดก๊าซ (CSD)แบรนด์ TANSUNSU/ น้ำด่าง 8.5 + CBD

ขณะที่ธุรกิจในอินโดนีเซียคาดว่าจะปรับตัวได้ดีต่อเนื่องจากก่อนหน้านี้มีการปรับแผนงานรวมถึงการเตรียมส่งสินค้าใหม่บุกตลาดในกลุ่มชาไทย/กาแฟโคลด์บริว และขั้นถัดไป นำชาไทยจากอิชิตัน อินโดนีเซีย ขยายไปเปิดตลาดใหม่ที่ฟิลิปปินส์ ทั้งนี้ตลาดคาด EPS ปี65 และ ปี66 ขยายตัวต่อเนื่องจากปี 64 ที่ 0.42 บาท/หุ้น มาอยู่ที่ 0.43 บาท/หุ้น, และ 0.49 บาท/หุ้น ตามลำดับ