HoonSmart.com>>หุ้น “พลังงานบริสุทธิ์” พุ่งแรงกว่า 3% รอรับเงินสนับสนุนผู้ผลิตแบตเตอรี่ในไทย 1 GWh วงเงิน 600 ล้านบาท เก็งกำไรกระแสรถ EV นักวิเคราะห์มองต่างมุม บล.เอเซียพลัสแนะขาย ราคาเกินพื้นฐานที่ให้ไว้ 65 บาท หยวนต้าเชียร์เป้า 96 บาท ฟินันเซียให้สูงสุด 101 บาท ชูเป็น Top pick ด้านบล.บียอนด์ ติดเครื่องลุย รับเงินเพิ่มทุนกว่า 9 พันล้านบาท ขยายธุรกิจ E Bus-เรือไฟฟ้า ปล่อยกู้ต่อกินดอกเบี้ย สร้างรายได้หลักใน 3 ปี
วันที่ 13 ก.ย.2565 หุ้นกลุ่มพลังงานบริสุทธิ์ EA, NEX และ BYD แรงยกแผง นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.พาย กล่าวว่า หุ้นในกลุ่ม EA ต่างปรับตัวขึ้นกันทั่วหน้า คาดว่าจะเป็นการเข้ามาเล่นเก็งกำไรของนักลงทุนในช่วงที่หุ้นขนาดใหญ่พักตัว หันมาเล่นหุ้นที่มีกระแสรถยนต์ไฟฟ้าแทน โดยขณะนี้ค่ายรถยนต์ต่าง ๆ เอาจริงเอาจังในเรื่องรถยนต์ไฟฟ้า มีการลงทุนเพิ่มในที่ดิน แต่รายได้ และกำไรยังไม่รู้จะเป็นอย่างไร เพียงแต่ Outlook รถยนต์ไฟฟ้าน่าจะมา เข้ามาเล่นเก็งกำไรตามกระแสกัน
บล.เอเอสแอล ระบุว่า จะมีการประชุมคณะอนุกรรมการในการส่งเสริมอีวีเตรียมเสนอมาตรการสนับสนุนผู้ผลิตแบตเตอรี่อีวี โควตา 1 กิกะวัตต์ (GWh) ให้วงเงินช่วยเหลือสูงสุด 600 ล้านบาท เป็นบวกต่อ EA,GPSC, WHA, DELTA
บล.ธนชาต มองว่า คณะอนุกรรมการส่งเสริม EV เตรียมพิจารณาเงินสนับสนุนให้กับผู้ผลิตแบตเตอรี่ในไทย 1 GWh เป็นวงเงิน 600 ล้านบาท เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นฐานการผลิตรถไฟฟ้า ซึ่งส่งผลดีโดยตรงต่อ EA แนะนำ“ซื้อ”ราคาเป้าหมาย 100 บาท ปัจจุบันมีโรงงานผลิ แบตเตอรี่กำลังการผลิต 1 GWh และกําลังขยายการผลิตเป็น 2 GWh ภายในปีนี้ หากมาตรการนี้อนุมัติ EA จะได้เงินสนับสนุน 1.2 พันล้านบาท ซึ่งเป็น Upside ต่อประมาณการ 12%
ขณะที่ NEX แนะนำ“ซื้อ”ราคาเป้าหมาย 25 บาท ได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนถ่ายรถบริการสาธารณะรูปแบบเก่าเป็น E-bus และเร่งส่งมอบ E-bus เพิ่มขึ้นในครึ่งปีหลัง หนุนกําไรเพิ่มสูงขึ้น และแนะเก็งกําไร GPSC ที่มีโรงงานผลิตแบตเตอรรี่กำลังการผลิต ปัจจุบัน 30 MGW และมีเป้าหมายขยายกําลังการผลิตเป็น 1 GWh ภายในปี 2567-2568
บล.เอเซียพลัส ให้ราคาเป้าหมาย EA ที่ 65 บาท เพิ่มขึ้นจากเดิมให้มูลค่า 60 บาท จากการประชุมนักวิเคราะห์ ฝ่ายวิจัยให้น้ำหนักเชิงบวกมากขึ้นในธุรกิจ E-Bus แนวโน้มการส่งมอบรถให้ได้ตามเป้าหมายที่ชัดเจนขึ้นสำหรับ 1,200-1,500 คันในปี 2565 และอีกราว 2,500-3,000 คันในปี 2566-2567 ให้แก่กลุ่ม BYD ส่งผลให้กำไรปกติเพิ่มขึ้น 10.8% และ 13% จากเดิม และช่วยเพิ่มมูลค่าให้ธุรกิจ E-Bus ได้อีก 5 บาท/หุ้น
“คงคำแนะนำ switch จากราคาหุ้นปัจจุบันปรับตัวขึ้นจนเกินมูลค่าพื้นฐานธุรกิจไปมาก “บล. เอเซียพลัสระบุ
ด้านบล.หยวนต้า ยังคงแนะนำซื้อ ให้ราคาเหมาะสมสิ้นปีนี้ที่ 96 บาท EA ยังมีประเด็นบวกที่รออยู่คือการเปิดตัวรถ EV Truck ในช่วงครึ่งปีหลัง คาดมีความต้องการซื้อสูงกว่า EV Bus นอกจากนี้กำไรปกติครึ่งปีหลังเติบโตจากช่วงครึ่งปีแรก จากการส่งมอบ EV Bus ในปี 2565 จำนวน 1,200 คัน แบ่งเป็นไตรมาสที่ 3 จำนวน 800 คัน และ 400 คันในไตรมาสที่ 4 กรณีส่งมอบรถตามได้เป้าจะทำให้กำไรปกติในไตรมาส 3 เป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปี และทำระดับสูงสุดใหม่รายไตรมาส
ส่วนบล.ฟินันเซีย ไซรัส ให้มูลค่าเหมาะสมสูงที่สุด 101 บาท
ด้านนางสาวออมสิน ศิริ ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (สายงานสนับสนุน) บล.บียอนด์ (BYD) เปิดเผยว่า บริษัทได้รับเงินค่าหุ้นเพิ่มทุนจาก บุคคลในวงจำกัด (PP) รวม 1,313 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 7.062 บาท มูลค่ารวมกว่า 9,272 ล้านบาทครบถ้วนเรียบร้อยแล้วในวันที่ 13 ก.ย.2565 คาดว่าหุ้นเพิ่มทุนจะสามารถเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ภายในเดือน ก.ย.นี้
อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุน PP ทั้ง 3 ราย แสดงความประสงค์ไม่ขายหุ้นออกก่อนกำหนด โดยบริษัทย่อยของ EA คือ อีเอ โมบิลิตี โฮลดิง (EMH)จะไม่ขายหุ้นเป็นเวลา 3 ปี, นายปรินทร์ โลจนะโกสินทร์ และ นายลุชัย ภุขันอนันต์ จะไม่ขายหุ้นเป็นเวลา 1 ปี
บริษัทเตรียมนำเงินเพิ่มุทนไปให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ บริษัท ไทย สมายล์ บัส (TSB) ผู้ให้บริการเดินรถประจำทางในเขตกรุงเทพฯ และจังหวัดที่มีพื้นที่ต่อเนื่องด้วยรถบัสไฟฟ้า ซึ่งเป็นบริษัทที่ BYD เข้าลงทุนผ่าน บริษัท เอช อินคอร์ปอเรชั่น (ACE) ที่ถือหุ้นใน TSB ทั้ง 100%
“เราจะให้กู้ยืมเงินทุนระยะยาวแก่ TSB ไม่เกิน 7 ปี วงเงินรวม 8,550 ล้านบาท จะได้รับดอกเบี้ยเงินกู้เข้ามาตั้งแต่เดือน ต.ค.นี้ ทำให้ผลการดำเนินงานเทิร์นอะราวด์ได้เร็วขึ้น และในอนาคตยังจะได้รับเงินปันผลในฐานะผู้ถือหุ้นเข้ามาไม่เกินปี 2568″นางสาวออมสินกล่าว
นอกจากนี้ TSB มีแผนเข้าซื้อกิจการ บริษัท อี ทรานสปอร์ต โฮลดิ้ง (ETH) จาก EMH เพื่อขยายเส้นทางการให้บริการรถโดยสารประจำทางแบบ Smart Bus อีก 37 เส้นทาง รวมทั้งให้บริการเรือโดยสารไฟฟ้าในแม่น้ำเจ้าพระยาและเรือท่องเที่ยวไฟฟ้าผ่าน E Smart Transport มูลค่ารวม 6,000 ล้านบาท
บริษัทจะซื้อหุ้น EXA (เจ้าของใบอนุญาตเดินรถโดยสารประจำทาง 2 เส้นทาง) และ RJR (เจ้าของใบอนุญาตเดินรถโดยสารประจำทาง 4 เส้นทาง) มูลค่า 190 ล้านบาท, จ่ายค่าซื้อ E Bus บางส่วน มูลค่ารวม 2,000 ล้านบาท, สร้างอู่จอดรถ สำนักงาน และงานดูแลรักษา มูลค่า 100 ล้านบาท, ลงทุนในระบบ Single network รถ-เรือ มูลค่า 200 ล้านบาท และเป็นเงินสำรอง หรือเงินทุนหมุนเวียนอีก 60 ล้านบาท
ก่อนหน้านี้ TSB ได้รับแจ้งจากกรมการขนส่งทางบกกลางให้รับใบอนุญาตประกอบการขนส่งใน 71 เส้นทาง ซึ่งภายใต้เงื่อนไข จะต้องบรรจุรถบัสไฟฟ้าขั้นต่ำจำนวน 758 คัน และสูงสุด 2,130 คัน เข้าไปภายใน 180 วัน หรือภายในเดือนต.ค.นี้ ส่งผลให้บริษัทมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด จาก 8 เส้นทาง เป็น 79 เส้นทาง และมีความจำเป็นต้องลงทุนจัดซื้อ E Bus เพื่อให้ได้ตามจำนวนขั้นต่ำตามที่กรมการขนส่งทางบกกำหนดไว้
ปัจจุบัน TSB อยู่ระหว่างจัดหา E Bus เพิ่มเติม ราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท/คัน รวมมูลค่าทั้งสิ้น 6,000 ล้านบาท ซึ่งจะรวมทั้ง 8 สายเดิมที่กลุ่ม TSB ให้บริการอยู่ ต้องเพิ่มจำนวนรถอีก 96 คัน, 71 สายใหม่ของ TSB ที่ต้องเพิ่มจำนวนรถอีก 758 คันภายในปีนี้, 2 สายของ EXA จำนวน 19 คัน และ 4 สายของ RJR จำนวน 23 คัน รวมเป็นเกือบ 900 คันที่จะซื้อภายในปีนี้ บริษัทมั่นใจว่าจะได้รับมอบรถบัสไฟฟ้าเข้ามาตามเป้าหมายที่วางไว้ และส่งผลให้จะมีรถบัสไฟฟ้ารวมทั้งสิ้นกว่า 3,000 คัน
นอกจากนั้น บริษัทยังตั้งเป้าหมายเพิ่มเติมเพื่อให้มีจำนวนรถ E Bus อีก 150 คันในปีนี้ด้วย TSB จะลงทุนซื้อ E Bus ด้วยเงินที่ได้จากการกู้ยืมจากบริษัทจำนวน 2,000 ล้านบาท และสินเชื่อจากผู้ขาย (Supplier credit) และผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถ
นางสาวออมสิน กล่าวว่า บริษัทคาดรายได้รถบัสไฟฟ้าเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 6,000 บาท/คัน/วัน ซึ่งในระยะเวลา 3 ปี (2565-2567) สัดส่วนรายได้จากธุรกิจเดินรถก็จะมากกว่าธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ซึ่งปัจจุบันเริ่มถึงจุดคุ้มทุนแล้ว