HoonSmart.com>> “มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิรช์” เผยกองทุนรวมไตรมาส 2/65 เงินไหลออกสุทธิกว่า 1.2 แสนล้านบาท เงินเฟ้อพุ่ง ดอกเบี้ยขึ้น นักลงทุนลดเสี่ยงลงทุน ดันยอดครึ่งปีเงินไหลออกทะลุ 2 แสนล้านบาท ชี้กองทุน money market เงินไหลเข้าสูงต่อเนื่อง “หุ้นจีน-เวียดนาม” ยังฮอตซื้อสุทธิ ฟากกลุ่มกองทุนตราสารหนี้เงินออกสุทธิมากสุด ผลตอบแทนติดลบ ด้าน “กองทุนหุ้นไทย” สัญญาณดี เงินไหลเข้าเป็นไตรมาสแรกในรอบ 2 ปี รับเปิดประเทศ จับตาดอกเบี้ยไทย ฟันด์โฟลว์
น.ส.ชญานี จึงมานนท์ นักวิเคราะห์อาวุโส บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า กองทุนรวมไทย (เฉพาะกองทุนเปิด ไม่รวมกองทุนปิด, ETF, REIT, Infrastructure fund) มีมูลค่าทรัพย์สินรวม 3.8 ล้านล้านบาท หดตัว 7.0% จากไตรมาสแรก หรือลดลง 10.8% จากสิ้นปี 2564 โดยในไตรมาส 2 มีเงินไหลออกสุทธิต่อเนื่องอีก 1.2 แสนล้านบาท รวมครึ่งปีแรกไหลออกสุทธิ 2 แสนล้านบาท
“ภาพรวมนักลงทุนยังคงลดความเสี่ยงโดยลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงต่ำสุด เห็นได้จากกองทุน money market มีเงินไหลเข้าสูงสุดต่อเนื่องอีก 1 ไตรมาสกว่า 4.4 หมื่นล้านบาท รวมเป็นเงินไหลเข้าสุทธิรอบครึ่งปี 5.9 หมื่นล้านบาท หนุนมูลค่าทรัพย์สินสุทธิเพิ่มขึ้น 9.7% จากสิ้นปีที่แล้ว ส่งผลให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิกองทุน money market เพิ่มขึ้นมาแตะ 7 แสนล้านบาทได้อีกครั้งหลังจากที่ก่อนหน้านี้มีเงินไหลออกไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงช่วงครึ่งหลังของปี 2563-2564” น.ส.ชญานี กล่าว
ในไตรมาส 2/2565 การลงทุนทั่วโลกให้ความสำคัญกับปัญหาเงินเฟ้อที่ยังคงพุ่งสูง ซึ่งเป็นผลจากต้นทุนราคาพลังงาน จากสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ นำไปสู่การปรับดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ 2 ครั้งขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 1.50%-1.75% และยังคงแนวทางปรับขึ้นเพื่อต้องการสกัดเงินเฟ้อควบคู่ไปกับมาตรการดึงสภาพคล่องออกจากตลาด ขณะที่จีนได้เข้าสู่ช่วงคลายล็อกดาวน์ในเซี่ยงไฮ้ และรัฐบาลจีนยังมีแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจ สวนทางกับนโยบายหลายประเทศ ทำให้ตลาดหุ้นจีนกลับมาได้รับความสนใจจากทั่วโลกอีกครั้งหลังจากที่เคยอยู่ในช่วงผลตอบแทนติดลบมากที่สุดตลาดหนึ่ง
ด้านสถานการณ์ในประเทศไทยมีแนวโน้มที่ดีขึ้นจากการระบาดของโควิดที่ลดลงจากต้นปีอย่างมีนัยสำคัญ นำไปสู่การเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว แต่ยังมีประเด็นสำคัญคืออัตราเงินเฟ้อที่ยังคงสูงขึ้นและมีการส่งสัญญาณความเป็นไปได้ในการปรับดอกเบี้ยจากคณะกรรมการนโยบายการเงินจากมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ 4 ต่อ 3 โดยดัชนี SET Index ปิดที่ 1,568.33 จุด SET TR รอบ 3 เดือนอยู่ที่ -6.8% หรือสะสมตั้งแต่ต้นปีที่ -3.8%
น.ส.ชญานี กล่าวอีกว่า ถึงแม้เงินจะไหลเข้ากองทุน money market ที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่ในภาพรวมกองทุนตราสารหนี้ยังมีเงินไหลออกสุทธิต่อเนื่องอีก 1.4 แสนล้านบาทในไตรมาส 2/2565 และครึ่งปีแรกไหลออกสุทธิ 2.3 แสนล้านบาท ด้านมูลค่าทรัพย์สินสุทธิลดลง 15.2% จากสิ้นปีที่แล้วไปอยู่ที่ระดับ 1.3 ล้านล้านบาท จากทิศทางดอกเบี้ยที่ปรับขึ้น และผลตอบแทนกองทุนตราสารหนี้ที่เฉลี่ยติดลบของแต่ละกลุ่ม ซึ่งอยู่ในช่วงตั้งแต่ 0.1% ไปจนถึงติดลบเกือบ 9% มีส่วนให้เงินไหลออก โดยมีเงินไหลออกจากกลุ่มกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นมากที่สุด 9.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งอุตสาหกรรม ทำให้รอบครึ่งปีมีเงินไหลออกสุทธิในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น 1 แสนล้านบาท มูลค่าทรัพย์สินสุทธิลดลง 19.3% จากสิ้นปี 2564
ด้านกองทุนตราสารทุนมีเงินไหลออกสุทธิเล็กน้อย 242 ล้านบาท รวมครึ่งปีไหลเข้าสุทธิ 3.9 พันล้านบาท ขณะที่กองทุนตราสารทุนมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิลดลง 13.5% ไปอยู่ที่เกือบ 1.4 ล้านล้านบาท ซึ่งการลดลงนั้นเป็นผลจากผลตอบแทนติดลบในตลาดหุ้นทั่วโลก ยกเว้นตลาดหุ้นจีนที่มีการฟื้นตัวขึ้นมาหลังผ่านช่วง lockdown จึงมีเงินไหลเข้าสุทธิกองทุนหุ้นจีนไตรมาส 2/2565 มูลค่า 6,437 ล้านบาท สูงเป็นอันดับ 3 และกองทุนหุ้นเวียดนามเป็นอันดับ 5 มูลค่า 3,371 ล้านบาท
สำหรับภาพรวม 6 เดือนแรกปี 2565 เงินไหลเข้าสุทธิกองทุน Money Market สูงสุด 5.9 หมื่นล้านบาท ขณะที่เงินไหลออกสุทธิ 4 กลุ่มแรกเป็นกองทุนตราสารหนี้ทั้งสิ้น โดยสูงสุดในกองทุน Short Term Bond กว่า 1.08 แสนล้านบาท Mid/Long Term Bond , Foreign Investment Bond Fix Term และ Flexible Bond ซึ่งกลุ่ม Mid/Long Term Bond เป็นอีกกลุ่มที่มูลค่าทรัพย์สินสุทธิลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จาก 2.5 แสนล้านบาทมาต่ำกว่าระดับ 2 แสนล้านบาท โดยมีเงินไหลออกสุทธิอีก 2.9 หมื่นล้านบาทในไตรมาสนี้ รวมครึ่งปี 4.7 หมื่นล้านบาท ขณะที่ผลตอบแทนช่วงไตรมาสที่ผ่านมาอยู่ที่ -0.7% และครึ่งปีที่ -1.1%
สำหรับกองทุนหุ้นไทย (ไม่รวม LTF,RMF, SSF) เริ่มกลับมามีเงินไหลเข้าสุทธิหลังจากมีเงินไหลออกต่อเนื่องมากว่า 2 ปี ซึ่งในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมาดัชนี SET Index มีแนวโน้มของการปรับตัวลงไปปิดที่ 1,568.33 จุด คิดเป็นผลตอบแทนรวม -6.8% หรือสะสมตั้งแต่ต้นปีที่ -3.8% ซึ่งการปรับตัวลงอาจมีส่วนให้นักลงทุนกลับมาสนใจกองทุนหุ้นไทยได้บ้าง จึงมีเงินไหลเข้า 800 ล้านบาท แต่รวมครึ่งปียังเป็นเงินไหลออกสุทธิ 3.1 พันล้านบาท มูลค่าทรัพย์สินลดลง 5.8% จากปลายปี 2564 ไปอยู่ที่ 2.2 แสนล้านบาท ขณะที่ผลตอบแทนเฉลี่ยกองทุน Equity Large-Cap ในไตรมาส 2/2565 ติดลบ 5.81% และตั้งแต่ต้นปี -4.06% ขณะที่กองทุน Equity Small/Mid-Cap ในไตรมาส 2/2565 เฉลี่ย -5.77% และตั้งแต่ต้นปี -4.92%
“ช่วง 2 ปีเงินไหลออกตลอดเมื่อเทียบกองทุนต่างประเทศ ซึ่งปี 2563 เงินไหลออกจากกองทุนหุ้นไทยตั้งแต่ดัชนีแถว 1,200 จุด และออกมาต่อเนื่องจนปัจจุบันดัชนี 1,500-1,600 จุด เงินเริ่มกลับเข้าลงทุนบ้างจากการเปิดประเทศ ทำให้นักลงทุนเริ่มสนใจหุ้นไทย ในขณะที่หุ้นต่างประเทศติดลบพอสมควร ถือเป็นสัญญาณที่ดีต่อหุ้นไทย”น.ส.ชญานี กล่าว
อย่างไรก็ตามแนวโน้มครึ่งปีหลังนี้ยังมีความไม่แน่นอนสูงซึ่งต้องจับตาดูว่าจากธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่ ในขณะที่หลายประเทศทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งปัจจุบันเงินเฟ้อสูง ส่งผลต่อการใช้จ่ายของประชาชนในประเทศ ตลาดหุ้นไทยก็อาจได้รับผลกระทบ หุ้นค้าปลีกก็กระทบ รวมทั้งหากสถานการณ์ยังไม่ดี เศรษฐกิจซบเซาหรือถดถอยในทิศทางเดียวกับต่างประเทศ อาจทำให้การลงทุนในครึ่งปีหลังไม่สดใส และหากกนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ยอาจทำให้มูลค่าหุ้นปรับลดลงได้ แต่หากหุ้นลงมากๆ อาจมีเงินทยอยเข้าซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี ขณะเดียวกันต้องดูทิศทางเงินบาทหากอ่อนค่าต่อเนื่องเมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐ จะทำให้เงินไหลกลับไปสหรัฐฯ อาจเห็นฟันด์โฟลว์ไหลออกได้เช่นกัน
ด้านกองทุนเพื่อการออมมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิลดลง 7% จากสิ้นปี 2564 และหดตัว 6.1% จากไตรมาสแรกของปี ไปอยู่ที่ 3.7 หมื่นล้านบาท มีเงินไหลเข้าสุทธิ 1.5 พันล้านบาท มากกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่ 1.3 พันล้านบาท ทำให้โดยรวมยังมีเงินไหลเข้าสุทธิที่สูงกว่าปีที่แล้ว แต่ผลตอบแทนจากการลงทุนยังกดดันให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิหดตัวลง
กองทุน LTF มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิที่ 3.3 แสนล้านบาท ลดลง 10.1% จากสิ้นปี 2564 หรือลดลง 6.8% จากไตรมาสแรก โดยในไตรมาสนี้มีเงินไหลออกสุทธิที่ค่อนข้างชะลอตัวลงรวม 5.1 พันล้านบาท รวมเงินไหลออกสุทธิรอบครึ่งปีแรก 2.2 หมื่นล้านบาท กองทุน RMF มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวม 3.7 แสนล้านบาท ลดลง 6.4% จากสิ้นปี 2564 มีเงินไหลเข้าสุทธิ 1.8 พันล้านบาทในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา นำโดยกองทุนตราสารทุน 1.9 พันล้านบาท ในขณะที่กองทุนผสมและกองทุนตราสารหนี้มีเงินไหลออกสุทธิ ทำให้โดยรวมกองทุน RMF มีเงินไหลเข้าสุทธิในครึ่งปีแรกระดับ 200 ล้านบาท
ด้านกองทุนรวมต่างประเทศ (ไม่รวม Term Fund) มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 9.5 แสนล้านบาท ลดลง 19.7% จากสิ้นปี 2564 หรือลดลง 12.3% จากไตรมาสแรก โดยมีเงินไหลออกสุทธิ 1.7 หมื่นล้านบาท รวมสะสมครึ่งปีแรกเงินไหลออกสุทธิ 1.7 หมื่นล้านบาท
สำหรับผลตอบแทนในไตรมาส 2/2565 กองทุนน้ำมันยังคงให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงสุด 7.50% ต่อปี ขณะที่กองทุน Global Technology ติดลบสูงสุด 27.71% ต่อปีและครึ่งปีแรกติดลบสูงสุดเช่นกัน 37.85% โดยกองทุนน้ำมันผลตอบแทนเฉลี่ยสูงสุด 37.04% ต่อปี
ส่วนกองทุนหุ้นจีนผลตอบแทนสูงสุดในกลุ่มตราสารทุนอยู่ที่ 3.23% ในไตรมาส 2/2565 จากไตรมาส 1/2565 กองทุนหุ้นจีนมีผลตอบแทนเฉลี่ยต่ำสุดที่ -15.5% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ก็ฟื้นตัวขึ้นเป็นกลุ่มที่มีผลตอบแทนเฉลี่ยสูงเป็นอันดับที่ 2 ของอุตสาหกรรมในไตรมาส 2/2565 จากการเปิดคลายล็อกดาวน์เซี่ยงไฮ้เมื่อเดือนมิ.ย.และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาสนับสนุนภาคธุรกิจและการขนส่งที่หุ้นจีนขนาดใหญ่อย่างกลุ่ม internet หรือ e-commerce ได้ประโยชน์ไปด้วย
ส่วนกลุ่มกองทุนหุ้นเทคโนโลยีเป็นกลุ่มที่มีผลตอบแทนต่ำที่สุดทั้งรอบ 3 เดือนและรอบ 1 ปี หรือเฉลี่ยที่ -27.7% และ -36.8% ตามลำดับ โดยในไตรมาสที่ผ่านมากองทุนที่ลงทุนเกี่ยวกับ blockchain มีผลตอบแทนที่ติดลบไปมากจากตลาดคริปโตที่มีการปรับตัวลงแรง ขณะที่กองทุนที่ลงทุนใน ARK Next Generation Internet หรือ ARKW มีผลตอบแทนติดลบมากเป็นอันดับต้น ๆ ในรอบครึ่งปีแรกซึ่งได้รับผลจากตลาดคริปโตด้วยเช่นกัน
“กองทุนหุ้นจีน” เริ่มฟื้น Q2/65 กำไร – “หุ้นเทค” ยังอ่วมครึ่งปีติดลบ 38%