KTAM แนะจังหวะทยอยสะสม กระจายลงทุนหุ้น 50% ตราสารหนี้-ทอง

HoonSmart.com>> “บลจ.กรุงไทย” มองเศรษฐกิจทั่วโลกยังเผชิญความเสี่ยง เงินเฟ้อสูง เฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ย กระทบการลงทุนผันผวน มองจังหวะหุ้นปรับฐานแนะทยอยสะสม พร้อมจัดพอร์ตกระจายลงทุนตราสารหนี้ 40% หุ้น 50% และทอง 10% คาดครึ่งปีหลังทยอยฟื้นตัว เดินหน้าพัฒนาแอปพลิเคชั่น KTAM Smart Trade เพิ่มฟังก์ชั่นลงทุนตาม Portfolio Model ได้สะดวกขึ้น หลังรุกเปิดแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียให้นักลงทุนเข้าถึงข้อมูลผลิตภัณฑ์ บทวิเคราะห์และอัพเดทการลงทุนรูปแบบ Live อย่างต่อเนื่อง

ชวินดา หาญรัตนกูล

นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย (KTAM) เปิดเผยว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2565 ยังมีความเสี่ยง จากต้นปีที่ผ่านมาแม้จะฟื้นตัวแต่ไม่ทั่วถึง โดยปัจจัยหลัก ๆ มาจากเรื่องของเงินเฟ้อ การปรับตัวขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์และอาหาร ซึ่งเป็นแรงผลักดันเงินเฟ้อด้านอุปทาน และสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อ รวมถึงผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลในหลายประเทศ ที่เป็นปัจจัยหลักที่กดดันสินทรัพย์เสี่ยงในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความกังวลตัวเลขเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นทั่วโลก โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้ปรับท่าทีต่อการดำเนินนโยบายการเงินไปสู่ทิศทางที่ตึงตัวมากขึ้น ทั้งการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย และการลดปริมาณการเข้าซื้อพันธบัตร (QT)

นอกจากนี้ ธนาคารกลางในหลาย ๆ ประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (EM) ได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อและป้องกันเงินทุนไหลออก ขณะที่ธนาคารยุโรปแม้จะยังสงวนท่าทีอยู่ แต่มีแนวโน้มที่จะเริ่มเข้าสู่ความตึงตัวมากยิ่งขึ้นจากปัญหาเงินเฟ้อ จึงนับว่าเป็นความเสี่ยงที่สำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2565

ส่วนของเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1 ปี 2565 ฟื้นตัวได้ดีกว่าที่หลายฝ่ายคาด จากการบริโภคภายในประเทศที่ได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นจากรัฐบาล และการส่งออกที่ยังคงดีต่อเนื่องตามภาวะอุปสงค์โลกที่เร่งตัว อย่างไรก็ตาม การระบาดของ COVID-19 ที่เกิดขึ้นหลายระลอกอาจทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจถูกกดดัน ส่งผลให้ภาคท่องเที่ยวฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด ทำให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ยังคงดอกเบี้ยนโยบายในระดับต่ำที่ 0.5% ต่อเนื่อง แต่ในกรณีที่ควบคุมการระบาดได้แล้ว มีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมในประเทศและการเข้าประเทศของนักท่องเที่ยว ก็จะทำให้เศรษฐกิจมีแนวโน้มกลับมาดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี และอาจทำให้มีแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายในประเทศจะถูกปรับขึ้น 0.25% ในช่วงปลายปี

“แม้เศรษฐกิจไทยอาจยังอยู่ในช่วงของการฟื้นตัวและยังไม่พร้อมต่อการขึ้นดอกเบี้ย แต่การเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ จะทำให้ส่วนต่างดอกเบี้ยของไทยและสหรัฐฯ ห่างกันมากขึ้น ซึ่งอาจกระทบต่อฟันด์โฟลว์ไหลออกเป็นสิ่งที่ธปท.กังวล แต่คงต้องดูค่าเงินบาทประกอบด้วย”นางชวินดา กล่าว

สำหรับตลาดการลงทุนในปี 2565 นี้ มีความผันผวนค่อนข้างรุนแรง หลายสินทรัพย์ปรับตัวลงในวงกว้าง ทำให้นักลงทุนส่วนมากปรับตัวเข้าสู่โหมด “ลดความเสี่ยง” (Risk-off) มากขึ้น รวมทั้งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมกองทุนรวมซึ่งราคาสินทรัพย์ปรับตัวลดลงมาก แต่การลงทุนในทองคำ พลังงานและน้ำมันยังสร้างผลตอบแทนได้ค่อนข้างดี หากมีในพอร์ตจะส่งผลให้พอร์ตโดยรวมติดลบไม่มาก

“KTAM ได้แนะนำลูกค้ากระจายการลงทุนในสินทรัพย์ในหลายประเภทและลงทุนในสินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์ในสภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งสถานการณ์ตอนนี้มองว่าไม่ใช่จังหวะลดพอร์ต ที่ผ่านมาตลาดรับรู้ข่าวไปมากพอสมควรแล้ว ในช่วงครึ่งปีหลังภาพรวมทั้งเศรษฐกิจและการลงทุนน่าจะฟื้นตัวขึ้น อีกทั้งตลาดเริ่มจะมีข่าวดีจากสหรัฐฯ ที่ อาจลดภาษีสินค้านำเข้าให้จีน แม้ภาพรวมการลงทุนยังคงมีความผันผวน แต่มองเป็นจังหวะทยอยสะสมช่วงตลาดปรับฐาน”นางชวินดากล่าว

สำหรับพอร์ตการลงทุนแนะนำลงทุนตราสารหนี้สัดส่วน 40% ตราสารทุน 50% และทองคำ 10% โดยมองตลาดตราสารหนี้เป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจ เนื่องจากปรับตัวลดลงมากจากต้นปี เนื่องจากธนาคารกลางมีแนวทางในการควบคุมอัตราเงินเฟ้อ ทำให้อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันปรับตัวเพื่อรองรับการขึ้นดอกเบี้ยมาพอสมควรแล้ว โดยประมาณการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อน่าจะถึงจุดสูงสุดในปลายปี 2565 จากนั้นจะปรับตัวลดลงอยู่ในระดับที่ธนาคารกลางสามารถควบคุมได้ ถึงแม้ว่าดอกเบี้ยจะปรับตัวสูงขึ้น แต่อาจจะไม่ปรับตัวสูงขึ้นมากและรวดเร็วกว่าในระยะเวลาที่ผ่านมา

ประกอบกับตลาดหุ้นโดยเฉพาะสหรัฐฯ และยุโรป ยังมีความเป็นไปได้ที่จะปรับตัวลดลง จากการปรับเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ยเพื่อสกัดกั้นสภาวะเงินเฟ้อและการ sanction ของสหรัฐฯ และยุโรปต่อรัสเซีย ส่งผลให้ต้นทุนด้านพลังงานและอาหารเพิ่มสูงขึ้นทำให้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และยุโรปมีการเติบโตที่ช้าลงทำให้ส่งผลกระทบในเชิงลบต่อผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ

ส่วนตลาดหุ้นมองตลาดหุ้นเอเชียน่าสนใจมากกว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว เนื่องจากที่ผ่านมามีการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนไปประเทศที่พัฒนาแล้ว และเมื่อพิจารณาด้านราคาจะเห็นว่าตลาดหุ้นเอเชียมีราคาที่ถูกกว่า แนะนำหุ้นจีนและเวียดนาม

“ในส่วนของสินค้าโภคภัณฑ์ เรามองราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นมามากและสงครามก็มาไกลแล้ว โอกาสจะกลับไปยืนระดับ 120 ดอลลาร์ฯ เหมือนเดิมอาจเป็นไปได้ยาก จึงไม่แนะนำให้เพิ่มการลงทุนในน้ำมัน แต่แนะนำลงทุนในทองคำมากกว่า เนื่องจากเงินเฟ้อที่ยังสูง หนุนให้ทองคำมีโอกาสกลับขึ้นที่นิวไฮเดิมของปีนี้ได้”นางชวินดา กล่าว

นางชวินดา กล่าวอีกว่า สำหรับภาพรวมการบริหารบลจ.กรุงไทย ในฐานะบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมชั้นนำของประเทศ มุ่งหวังที่จะมีส่วนร่วมในการสร้างอนาคตทางการเงินที่ดีขึ้นให้แก่นักลงทุน โดยยึดแนวทางในการดำเนินธุรกิจ 5 ส. ได้แก่ สร้างสรรค์ สำเร็จ สัตย์ซื่อ สามัคคี และสังคม ทั้งยังตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงและความผันผวนที่เกิดขึ้นทั่วโลกอย่างรวดเร็ว จึงได้พยายามเฟ้นหาโอกาสการลงทุนในรูปแบบใหม่ นวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์กับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น โดยจะมีการนำเสนอกองทุนประเภท Thematic และกองทุนที่เหมาะสมกับภาวะ Risk off ของนักลงทุนมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และยังเป็นการสร้างโอกาสให้นักลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ ได้ยึดหลักการบริหารจัดการอย่างรอบคอบระมัดระวัง ภายใต้กระบวนการการกำกับดูแลที่ดีโดยคำนึงถึงประโยชน์ของนักลงทุนเป็นสำคัญ

ทั้งนี้ ตั้งแต่เริ่มเกิดวิกฤติจากการแพร่ระบาดตั้งแต่ 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ตั้งรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และเล็งเห็นถึงวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปของนักลงทุน ซึ่งนอกจากการปรับตัวที่ต้องเร็วและทันกับยุคสมัยแล้ว ช่องทางการให้บริการก็เป็นสิ่งจำเป็นไม่แพ้กัน บริษัทฯ จึงได้เปิดแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ให้มีความหลากหลาย ตอบโจทย์ชีวิตสมัยใหม่ของนักลงทุน เช่น Facebook, YouTube, Line, Instagram, Twitter, Clubhouse, PodBean, Blockdit และ Spotify เป็นต้น เพื่อให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงข้อมูลผลิตภัณฑ์และบทวิเคราะห์ต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดายและรวดเร็วตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา

จากการนำเสนอข้อมูลการลงทุนอย่างทันท่วงทีแล้ว ยังได้ทำการ update ข้อมูลการลงทุนในรูปแบบ Live อย่างต่อเนื่องในเช้าของทุกวันทำการผ่านช่องทาง Facebook, YouTube และ Clubhouse โดยในขณะ Live นักลงทุนที่มีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้เพื่อประโยชน์ในการตัดสินใจลงทุน ซึ่งทำให้ได้รับกระแสตอบที่ดีจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก ส่งผลให้ปัจจุบันบลจ.กรุงไทยเป็น บลจ.อันดับ 1 ที่มีผู้ติดตามสูงสุดในช่องทาง Facebook ด้วยจำนวนผู้ติดตามกว่า 300,000 ราย โดยข้อมูล ณ 31 ธ.ค.2564 บริษัทฯ มีฐานลูกค้าในทุกดิจิทัลแพลตฟอร์มรวม PVD online และ Krungthai NEXT จำนวน 1,092,131 ราย เติบโตถึง 36.6% เทียบจากปี 2563 และในปีนี้มุ่งหวังขยายฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่องโดยวางเป้าหมายให้เติบโตจากปี 2564 ถึง 40%

นอกจากนี้ ยังคงเดินหน้าส่งเสริมด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง โดยได้คำนึงถึงวิถีชีวิตในยุคดิจิทัล (Digital Lifestyle) ที่เปลี่ยนไปของนักลงทุน จึงได้มุ่งพัฒนาแอปพลิเคชั่น KTAM Smart Trade เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุน ช่วยให้นักลงทุนสามารถทำธุรกรรมต่าง ๆ เพียงปลายนิ้วได้อย่างรวดเร็วผ่านช่องทางออนไลน์โดยไม่ต้องไปที่ธนาคารหรือจัดเตรียมสำเนาเอกสารให้ยุ่งยาก ซึ่งนอกจากการเปิดบัญชีซื้อขายกองทุน และทำรายการได้แบบเรียลไทม์ (Online Open Account) แล้ว ยังมีแผนที่จะเพิ่มฟังก์ชั่นให้นักลงทุนสามารถลงทุนได้ตาม Portfolio Model ตามคำแนะนำได้สะดวกขึ้น

อีกทั้งใช้เทคโนโลยีความปลอดภัยต่าง ๆ ภายในโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลของลูกค้าทั้งหมดจะถูกเก็บไว้อย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องกังวล รวมถึงการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในด้านต่าง ๆ เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของนักลงทุนที่ทันสมัยยิ่งขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีนักลงทุนที่ใช้บริการผ่าน KTAM Smart Trade แล้วกว่า 41,000 บัญชี

“อุตสาหกรรมกองทุนรวมได้รับผลกระทบจากตลาดการลงทุนผันผวนและปรับตัวลงแรง ส่งผลให้มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารของ KTAM ปรับตัวลดลงไปในทิศทางเดียวกับอุตสาหกรรม และคาดว่าครึ่งปีหลังสถานการณ์ต่างๆ จะดีขึ้นและหนุนให้มูลค่าสินทรัพย์ของกองทุนกลับขึ้นมาโดยไม่ติดลบในปีนี้ จากปี 2564 ที่สามารถเติบโตได้ค่อนข้างดี”นางชวินดา กล่าว

อ่านข่าว

“ชวินดา” นายกสมาคมบลจ. เปิดพันธกิจ 6 ด้าน ผลักดันกบช.-พัฒนากองทุนรวมใหม่ๆ